เยียวยา

เยียวยา

เยียวยา

"คำพูดที่หวังจะให้กำลังใจ 
และเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของคนไข้ 
ได้แปรเปลี่ยนเป็นคำพูด 
ที่กลับมาเยียวยาหัวใจของฉันเอง"

อมรกานต์ บัวทอง

ฉัน ลงลิฟต์มายังชั้นหนึ่ง สายลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้าฉันเข้าอย่างจัง ฉันรีบขยับเสื้อคลุมให้กระชับเข้ากับตัว พลางเดินอย่างรวดเร็วเพื่อไปรับประทานอาหารเช้าระหว่างทางฉันเหลือบไปเห็นเอี๊ยมสีฟ้ากำลังพลิ้วไหวตามจังหวะการก้าวเดิน เท้าเล็ก ๆ สวมรองเท้าสีขาวสะอาดสะอ้านก้าวเดินอาด ๆ อย่างมุ่งมั่นมาตามทางเดิน น้อง ๆ นักศึกษาพยาบาลนั่นเอง น้อง ๆ กำลังถือหนังสือการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์เล่มขนาดย่อมไว้แนบอกฉันยิ้มให้กับภาพนั้นอย่างนึกเอ็นดู การได้มองเห็นนักศึกษาพยาบาลใส่ชุดเอี๊ยมสีฟ้าที่ขะมักเขม้นในการค้นคว้าและแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปใช้ให้การพยาบาลผู้ป่วยบน Ward ทำให้ฉันหวนรำลึกถึงวันเวลาเก่า ๆ... วันที่ตัวฉันเองก็ยังเป็นนักศึกษาพยาบาลอยู่

ฉัน เพราะไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะยอมรับได้ว่าเราได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วในกรณีนี้สามารถใช้กับเด็ก ๆ ที่ต้องสอบเข้าไปเรียนยังที่ต่าง ๆ หรือสอบเพื่อให้ผ่านชั้น หรือคนที่ต้องเตรียมนำเสนองานได้อีกด้วย ฉันเคยถามลูกศิษย์ว่าทำไมถึงต้องเครียดกับการเตรียมนำเสนอ ลูกศิษย์ฉันตอบว่าเพราะไม่เคยทำมาก่อนเลยเครียด ฉันเลยบอกว่าทำให้เต็มที่และดีที่สุด พอนำเสนอไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องเครียด หากมีคนติ ก็เพื่อพัฒนา เราก็แก้ไข และทำต่อไป หลายคนกลัวที่จะถูกติ ถูกวิจารณ์ แต่คนเราเมื่อมาทำงานแล้ว ไม่มีใครทำได้สมบูรณ์แบบทุกคน ย่อมต้องมีคนติ คนชมเป็นธรรมดา หากคำตินั้นสร้างสรรค์นำไปพัฒนาได้ก็นำไปปรับปรุง หากคำตินั้นไม่สร้างสรรค์ ก็ทิ้งมันไป.. คิดได้อย่างนี้จะได้ไม่ต้องกลัว  ในอดีตฉันเคยกลัวที่จะถูกคนติ หรือตำหนิ เวลาจะทำงานอย่างหนึ่ง จะเครียดมาก ต้องทำให้ดี พยายามจะไม่ให้ใครตำหนิว่างานนี้มีจุดบกพร่อง..  พอโดนตำหนิ ก็จะเศร้า ผิดหวัง และวันนั้นก็จะเป็นวันที่หดหู่ไปเลย ต่อมา ฉันเปลี่ยนความคิดตัวเองใหม่ เมื่อรู้ว่าคนเราต้องมีการพัฒนา เราไม่สามารถทำอะไรได้สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง.. เริ่มยอมรับกับคำตำหนิได้ ได้นำคำสอนเหล่านั้นไปพัฒนาตัวเอง และเห็นว่าเราได้พัฒนาขึ้นจริง ๆ กลายเป็นทุกครั้งที่ไปสอน ต้องคอยถามครูบาอาจารย์ว่ามีอะไรจะติไหม จะได้นำไปปรับปรุง หากเราไม่ยอมรับคำตำหนิ และคิดว่าเราทำดีแล้ว เก่งแล้ว วันนั้นเท่ากับเราได้หยุดพัฒนาตัวเอง ต่อไปจะไม่มีใครกล้าสอน กล้าเตือนอีกเลย.. ซึ่งจะเป็นผลเสียกับเราอย่างมาก

ตอนนั้น ฉันฝึกคอร์สผู้นำ (Leader) อยู่ที่สูติกรรม1 คนไข้ที่มานอนโรงพยาบาลล้วนแล้วแต่มีภาวะการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงหรือมีภาวะผิดปกติเช่น การเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์ ดาวน์ซินโดรม ภาวะทารกบวมน้ำ หรือแม้กระทั่งการทำแท้ง เป็นต้น โดยเฉพาะเคสที่นัดมาทำแท้งนั้น พี่พยาบาลที่สูติกรรม1 ทุกคนจะมีจุดยืนในการให้การพยาบาลที่ชัดเจนมาก คือ การให้ยาไซโตเทค (Cytotec) เพื่อทำแท้งไม่ว่าจะเป็นการอมยาใต้ลิ้นหรือการเหน็บยาทางช่องคลอดให้แก่คนไข้ต้องให้แพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้มาลงมือกระทำเองเท่านั้น ทั้งนี้พี่พยาบาลให้เหตุผลว่า การให้ยาที่ต้องไปคร่าชีวิตของผู้อื่นนั้นทำให้พี่พยาบาลรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “เราสามารถปฏิเสธคำสั่งการรักษา (Order) ที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกผิดในใจได้” พี่พยาบาลกล่าวเช่นนั้น แต่กระนั้นก็ไม่ได้ละเลยการดูแลคนไข้ยังคงให้การพยาบาลและดูแลช่วยเหลือให้คนไข้สามารถผ่านพ้นช่วงยากลำบากไปได้อย่างเต็มใจและเต็มความสามารถ

จากนั้นมา จนถึงทุกวันนี้ฉันได้รับเลือกให้ทำงานทางด้านสูติกรรมที่ฉันชื่นชอบ ฉันยังคงไม่ลืมปณิธานที่ตั้งไว้ในใจตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาพยาบาล คือ หากมีคนไข้มายุติการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามและทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ยอมเป็นคนนำยาไซโตเทคไปให้คนไข้เป็นอันขาด ยกเว้นแต่กรณีที่ทารกเสียชีวิตในครรภ์เท่านั้น

ฉัน เดินไปรับประทานอาหารเช้าและรีบขึ้น Ward อย่างรวดเร็วเช่นทุกครั้ง เช้าวันนี้เป็นวันที่ยุ่งมากอีกวันหนึ่ง มีคุณแม่มารอคลอดและรอผ่าตัดคลอดเต็มเกือบทุกห้อง และที่สำคัญมีคนไข้มายุติการตั้งครรภ์ด้วย

ฉัน ทำงานที่ได้รับมอบหมายตามปกติจนกระทั่งช่วงหนึ่งที่พยาบาลทุกคนยุ่งกันมาก มีคุณแม่พร้อมเบ่งคลอดพร้อม ๆ กันสองท่าน พี่พยาบาลอินชาร์จเรียกฉันด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “แนน พี่ฝากเอายาให้คนไข้อมหน่อยจ้ะ”ฉันรีบทตามคำสั่ง นำยาไซโตเทคไปให้คนไข้ที่มายุติการตั้งครรภ์อมใต้ลิ้น “ยาอมใต้ลิ้นค่ะคนไข้” ฉันบอกคนไข้พร้อมกับยื่นแก้วยาในมือให้ แต่ในขณะที่ฉันยื่นแก้วยาใส่ในมือคนไข้นั้นเอง ... ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงความผิดพลาดอันร้ายแรงของตัวเอง

ฉัน เดินออกจากห้องคนไข้ด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยวสุดจะประมาณได้ฉันรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเอง สูญเสียปณิธานที่ตั้งใจไว้เมื่อนานมาแล้ว ฉันกำลังมีส่วนร่วมในการพรากชีวิตผู้อื่นอย่างนั้นใช่ไหม ฉันเสียใจมากแต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะความรู้สึกผิดมันท่วมท้นเกินกว่าที่จะเอ่ยถ้อยคำใดออกมาได้ฉันฝืนใจทำงานที่ได้รับมอบหมายตลอดทั้งเวรนั้น

ปลายเวร เสียงออดเตือนขอความช่วยเหลือปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ความคิดทั้งมวล ฉันรีบเปิดประตูห้องเพื่อเข้าไปดูคนไข้คนไข้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด“ปวดท้องมากเลยค่ะ ปวดมาก ๆ เลย” คนไข้พูดพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างกุมหน้าท้องไว้ “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวตรวจภายในดูปากมดลูกคงจะเปิดมากขึ้น” ฉันบอกคนไข้

พี่พยาบาลอินชาร์จมาตรวจภายใน ปากมดลูกของคนไข้เปิดเพิ่มเล็กน้อยแต่ยังไม่ใกล้ที่จะคลอดทารกออกมา พี่พยาบาลอินชาร์จจึงฉีดยาแก้ปวดให้คนไข้

ฉันยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้โดยต้องการสังเกตอาการของคนไข้มากกว่ารู้สึกอย่างอื่น คนไข้มองหน้าฉัน แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความเศร้าโศกเสียใจ ความรู้สึกผิด ความรู้สึกมากมายของคนไข้กลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตา หลั่งไหลออกจากดวงตาที่ร้าวราน ... หลั่งไหลเข้ามาในใจของฉัน “ไม่อยากให้เขาออกมาเลยค่ะ ทำใจไม่ได้กลัวบาปกรรม” คนไข้พูดพร้อมกับสะอื้นไห้จนสั่นไปทั้งตัวฉันสงสารคนไข้จับใจความรู้สึกผิดที่ท่วมท้นของฉันในตอนที่ให้ยาแก่คนไข้นั้น คงเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะได้เป็นแม่ แต่ก็ต้องมาสูญเสียลูกในท้องและสูญเสียความเป็นแม่ไปอย่างแทบไม่ทันตั้งตัวฉันโน้มตัวลงไปใกล้คนไข้คำพูดพรั่งพรูออกมาเองโดยที่ฉันไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน

“คนไข้ฟังพยาบาลนะคะ ทุกการกระทำขึ้นอยู่กับเจตนาของเรา เราไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ไม่มีแม่คนไหนอยากทำเรื่องแบบนี้ เราไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่บางครั้งคนเราก็มีความจำเป็นบางอย่างให้ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรขอให้รู้ไว้นะคะ ว่าคุณก็ยังดีพอสำหรับทุกอย่างในอนาคต ดีพอที่จะเป็นภรรยาที่ดีดีพอที่จะเป็นคุณแม่ที่อบอุ่น คุณก็ยังเป็นคนดีนะคะ”

คำพูดที่หวังจะให้กำลังใจและเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของคนไข้ได้แปรเปลี่ยนเป็นคำพูดที่กลับมาเยียวยาหัวใจของฉันเองอย่างไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกผิดทั้งหมดของฉันเหมือนได้รับการอภัยแล้ว ความรู้สึกหนักหน่วงในใจได้รับการปลดปล่อย ฉันรู้สึกเหมือนดั่งได้รับแสงแรกของรุ่งอรุณหลังจากผ่านค่ำคืนมืดมิดมายาวนาน

ใช่...แม้ฉันจะรู้สึกผิดมากเหลือเกินที่เป็นคนให้ยาแก่คนไข้ แต่คุณค่าของฉันก็ยังคงมีอยู่ ฉันยังสามารถเป็นพยาบาลที่ดีได้ยังสามารถทำคุณประโยชน์ให้การดูแลช่วยเหลือให้คำแนะนำ และให้ความรู้แก่คนไข้ได้ คุณค่าของฉันไม่ได้หมดไปเพราะการกระทำเพียงการกระทำเดียวนั้น

คนไข้ยิ้มน้อยๆตอบฉันพร้อมกับพยักหน้า “ขอบคุณนะคะคุณพยาบาล” แม้หยาดน้ำตาจะไม่ได้เหือดแห้งไปจากใบหน้าของคนไข้ แต่แววตาและสีหน้าที่ดูเข้าใจและยอมรับได้มากขึ้นนั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน ฉันยิ้มให้คนไข้อย่างจริงใจ รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณขอบตาอย่างช่วยไม่ได้

หลาย ๆ ครั้งฉันทำหน้าที่เป็นผู้เยียวยาคนไข้ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือจิตใจ แต่ครั้งนี้ฉันและคนไข้เราต่างก็เยียวยาซึ่งกันและกัน รอวันที่บาดแผลของเราจะตกสะเก็ดและค่อย ๆ จางหายไป

ผู้เขียน :  นางสาวอมรกานต์ บัวทอง งานการพยาบาลผ่าตัดและคลอดบุตร ฝ่ายการพยาบาล
ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ติดตามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่

นิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama ฉบับที่ 31 คลิก

AtRama.mahidol.ac.th