ผลลัพธ์และระยะเวลาในการฝึกอบรม

ผลสัมฤทธิ์ของแผนงานฝึกอบรม

เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรม แพทย์เฉพาะทางอนุสาขาเวชศาสตร์ประคับประคองต้องมีคุณสมบัติ และความรู้ความสามารถขั้นต่ำตามสมรรถนะหลักทั้ง ๖ ด้านดังต่อไปนี้

๓.๑ การบริบาลผู้ป่วย (Patient care)

        ๓.๑.๑ ประเมินลักษณะทางคลินิกของโรค ปัญหาสุขภาพและการดำเนินโรคและการพยากรณ์โรคที่พบในผู้ป่วยระยะประคับประคอง

        ๓.๑.๒ ตรวจหาสาเหตุและวิเคราะห์โรคและปัญหาสุขภาพที่สำคัญที่พบในผู้ป่วยระยะประคับประคอง (Patient investigation)

        ๓.๑.๓ ให้การดูแลรักษาภาวะหรืออาการต่าง ๆ ที่พบในผู้ป่วยระยะประคับประคอง (Symptom palliation) เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ทั้งการดูแลที่เป็นการใช้ยา เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ การแพทย์ทางเลือกและแบบผสมผสาน และวิธีการดูแลอื่นที่จำเป็น โดยอ้างอิงจากเวชปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์ 

๓.๑.๔ ดูแลสุขภาพของผู้ป่วยระยะประคับประคองและครอบครัวอย่างเป็นองค์รวม (Holistic care)

        ๓.๑.๕ ให้การป้องกันและดูแลภาวะแทรกซ้อนหรือภาวะเร่งด่วน ที่สำคัญในผู้ป่วยระยะประคับประคอง 

        ๓.๑.๖ ให้การดูแลผู้ป่วยและครอบครัวเมื่อผู้ป่วยใกล้จะเสียชีวิต (Impending death and peri-death management

        ๓.๑.๗ ประเมิน ติดตาม และดูแลสมาชิกครอบครัวหรือผู้ดูแลที่มีภาวะเศร้าโศก รวมทั้งสามารถทำงานประสานกับวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวัง ติดตามดูแลครอบครัวหรือผู้ดูแลที่มีภาวะเศร้าโศกที่ผิดปกติได้อย่างเหมาะสม (Grief and bereavement care)

        ๓.๑.๘ ให้การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง ผู้ดูแล หรือครอบครัวที่บ้าน (Home-based palliative care) หรือในชุมชนได้อย่างเหมาะสม (Community-based care)

        ๓.๑.๙ ให้การดูแลโดยคำนึงถึงความต้องการเฉพาะของผู้ป่วยประคับประคองที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มคนชายขอบ

๓.๒ ความรู้และทักษะหัตถการทางเวชกรรม (Medical Knowledge and Procedural Skills)

        ๓.๒.๑ ความรู้วิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานของร่างกายและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง เช่น ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐาน สรีรวิทยา พยาธิวิทยา และเภสัชวิทยาคลินิก เป็นต้น

        ๓.๒.๒ ความรู้ ความเชี่ยวชาญในโรคหรือปัญหาสุขภาพที่สำคัญในผู้ป่วยระยะประคับประคอง 

        ๓.๒.๓ มีทักษะในวิชาชีพ สามารถทำหัตถการที่จำเป็นต่อการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองได้ด้วยตนเอง

        ๓.๒.๔ ความรู้ทางด้านกฎหมาย หลักการทางจริยธรรม และแนวทางการตัดสินใจด้านจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง

        ๓.๒.๕ ความรู้ทางด้านผลกระทบของความตาย กับค่านิยมของสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาและความเชื่อที่เกี่ยวข้อง ตามบริบทของชุมชน

๓.๓ ทักษะระหว่างบุคคลและการสื่อสาร (Interpersonal and Communication Skills)

        ๓.๓.๑ สื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัวโดยใช้หลักการสื่อสารทางคลินิก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย และครอบครัวผู้ป่วย (Doctor-patient-family relationship)

        ๓.๓.๒ สื่อสารให้ข้อมูลสภาวะโรค การดำเนินโรค ทางเลือกของการรักษาและการรักษาที่จะได้รับ และให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกแนวทางการดูแลรักษาของตนเอง รวมทั้งเพื่อวางแผนการดูแลทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อเนื่องจนผู้ป่วยเสียชีวิต

        ๓.๓.๓ สื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัวในสถานการณ์ที่พบบ่อยหรือซับซ้อนในการดูแลแบบประคับประคอง

        ๓.๓.๔ เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่แพทย์และบุคลากรอื่น โดยเฉพาะด้านการดูแลแบบประคับประคอง

        ๓.๓.๕ สามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะให้แพทย์ นักศึกษาแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนประชากรในชุมชนที่รับผิดชอบ

        ๓.๓.๖ สามารถสร้างความตระหนัก สนับสนุนชี้นำ (Health advocacy) ให้แก่ผู้ป่วย ครอบครัวและชุมชน

๓.๔ การเรียนรู้และการพัฒนาจากฐานการปฏิบัติ (Practice-based Learning and Improvement)

        ๓.๔.๑ เรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์ได้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติ

        ๓.๔.๒ วิพากษ์บทความและงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวข้องกับการดูแลแบบประคับประคองได้ และนำหลักฐานเชิงประจักษ์มาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยและครอบครัว

        ๓.๔.๓ ประสานการทำงาน และวางแผนการดูแลร่วมกับทีมสหวิชาชีพอื่น เพื่อให้การดูแลครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ 

        ๓.๔.๔ มีทักษะในการดูแลตนเอง (Self-care) และพัฒนาตนเองให้มีความยืดหยุ่น (Resilience) สามารถดูแลและรับมือความสูญเสียของตนเอง หรือความสูญเสียที่เกิดจากประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยและครอบครัว 

        ๓.๔.๕ ดำเนินการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับการดูแลแบบประคับประคองได้

๓.๕ ความสามารถในการทำงานตามหลักวิชาชีพนิยม (Professionalism)

        ๓.๕.๑ มีคุณธรรม จริยธรรม และเจตคติที่ดีต่อผู้ป่วย ครอบครัวของผู้ป่วย ชุมชน และผู้ร่วมงานสหวิชาชีพ โดยคำนึงถึงหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพและกฎหมาย

        ๓.๕.๒ มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย 

        ๓.๕.๓ มีความสนใจใฝ่รู้และสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตและพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง (Continuing medical education and professional development)

        ๓.๕.๔ คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมและจริยธรรมทางการแพทย์

๓.๖ การทำเวชปฏิบัติให้สอดคล้องกับระบบสุขภาพ (Systems-based Practice)

        ๓.๖.๑ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสุขภาพของประเทศไทยและนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง

        ๓.๖.๒ มีความเข้าใจเรื่องหลักการประกันคุณภาพ ระบบประเมินและพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วย และสามารถร่วมดำเนินการพัฒนาคุณภาพ ตลอดจนความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร (Patient and personnel safety) อย่างต่อเนื่อง

        ๓.๖.๓ มีความรู้เรื่องรูปแบบและการพัฒนาบริการการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เหมาะสมในแต่ละบริบท เช่น ในโรงพยาบาล ที่บ้าน สถานดูแลผู้ป่วยระยะท้าย (Hospice) การดูแลด้วยเครือข่ายภายในชุมชน รวมทั้งวิธีการส่งต่อระหว่างระบบบริการและการจัดการทรัพยากรสุขภาพที่มีอยู่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย และมีความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ และมีความสามารถในการนำทีมและบริหารจัดการทีม

        ๓.๖.๔ มีความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำ และสามารถเป็นผู้นำในทีมสุขภาพ การทำงานร่วมกับหน่วยงานนอกองค์กรและชุมชน (Leadership

        ๓.๖.๕ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยี (Information management and technology) เพื่อนำมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยหรือพัฒนาระบบบริการ