นิตยสารทุกฉบับ
รวมนิตยสาร
บทความประจำ
เลือกดูบทความจากทุกเล่ม
ค้นหาบทความ
ค้นหาจากหัวข้อ

พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ สมุทรปราการ

Volume
ฉบับที่ 43 เดือนมกราคม 2565
Column
Camera Diary
Writer Name
นันทิตา จุไรทัศนีย์

    สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน @Rama ทุกท่าน ฉบับนี้เราจะผ่านปี 2564 เข้าสู่ปี 2565 กันแล้ว จึงจะพาผู้อ่านไปท่องเที่ยวและขอพรปีใหม่ที่พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณในรูปแบบการท่องเที่ยววิถีใหม่ ปลอดภัยจาก COVID-19 กันค่ะ
    พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ตั้งอยู่ที่ 99/9 หมู่ 1 ถ.สุขุมวิท ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 10270 สามารถเดินทางสะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือรถไฟฟ้าสายสีเขียวลงที่สถานีช้างเอราวัณ (E17) เดินตรงไปยังทางออกที่ 1 ซอยสุขุมวิท 7 ซึ่งจากสถานีรถไฟฟ้าถึงพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณมีระยะทาง 650 เมตร สามารถเดินหรือนั่งแท็กซี่ต่อไปได้ค่ะ

    ตอนนี้พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น. ทั้งภายในและภายนอกอาคาร เมื่อไปถึงเราต้องซื้อบัตรเพื่อเข้าชมด้านใน ราคาบัตรคนไทย : ผู้ใหญ่ 250 บาท และ เด็ก 125 บาท สำหรับชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 400 บาท และ เด็ก 200 บาท โดยบัตรเข้าชมทุกประเภทรวมบริการดอกไม้ ธูป ลอยดอกบัวด้านในและสามารถเดินชมบริเวณสวนได้โดยรอบโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม และยังมีโปรโมชั่นบัตรรายปี ราคา 365 บาท เที่ยวได้ 365 วัน เพียงใช้บัตรประจำตัวประชาชนในการสมัคร และที่สำคัญสิทธิเฉพาะคนไทยเท่านั้น และยังมีบริการ Audio Guide (ไทย อังกฤษ จีน เกาหลี รัสเซีย) สำหรับท่านที่เข้าชมภายในตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ด้วยค่ะ
    สำหรับการท่องเที่ยววิถึใหม่ ปลอดภัยจาก COVID-19 พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ด้วยการขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเข้าชม เว้นระยะห่าง และการเข้าชมภายในตัวช้างจะจำกัดผู้เข้าชมอยู่ที่ 60 คนเท่านั้นค่ะ
    ก่อนชมด้านใน เรามาทำความรู้จักที่มาของพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณกันค่ะ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณเป็นประติมากรรมลอยตัวรูปช้าง 3 เศียร ซึ่งเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีเคาะมือแห่งแรกและแห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันมีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรพลาดของจังหวัดสมุทรปราการ โดยเริ่มสร้างเมื่อปี 2537 และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมอย่างเป็นทางการได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 เป็นต้นมา ตัวช้างรวมทั้งอาคารรองรับมีความสูง 43.6 เมตร (เทียบเท่าตึก 14 ชั้น) ความกว้างของช้าง 12 เมตร ความยาวลำตัวช้าง 39 เมตร น้ำหนักของลำตัวช้าง 150 ตัน และน้ำหนักของเศียรช้าง 100 ตัน แผ่นทองแดงบุผิวช้างด้านนอกทั้งตัว โดยใช้แผ่นทองแดงหนาประมาณ 1.2 มิลลิเมตร มีขนาดต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ 4x8 ฟุต จนถึงแผ่นเล็กสุดขนาดเท่าฝ่ามือ เคาะตกแต่งลวดลายเรียงต่อกันหลายแสนชิ้นด้วยความประณีต
    ในคติโบราณเชื่อว่า บทบาทและหน้าที่อันสำคัญยิ่งของช้างเอราวัณ คือ เป็นพาหนะที่นำเสด็จพระอินทร์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งบนสวรรค์และโลกมนุษย์ เพื่อดูแลทุกข์สุขของชาวโลก เนื่องจากพระอินทร์ทรงเป็นหัวหน้าเทวดาที่คอยควบคุมดูแลดินฟ้าอากาศ มีวัชระสายฟ้าเป็นอาวุธ เป็นศัตรูกับความแห้งแล้ง บันดาลความอุดมสมบูรณ์และความชุ่มฉ่ำสู่โลกมนุษย์ ช้างเอราวัณจึงมีหน้าที่ดูดน้ำจากโลกขึ้นไปสวรรค์ ให้พระอินทร์บันดาลเกิดน้ำจากฟ้าตกลงสู่โลกมนุษย์
    ช้างเอราวัณนั้น ถือว่าเป็นเจ้าแห่งช้างทั้งปวงในสากลจักรวาล เป็นพาหนะคู่พระทัยของพระอินทร์ เป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของพระอินทร์ คือสัญลักษณ์ของการกระทำความดี และสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และเหตุที่ในทางศิลปกรรมนิยมทำรูปช้างเป็นสามเศียรแทนสามสิบสามเศียรนั้นเป็นการลดรูปทางศิลปะให้มีสัดส่วนที่สมดุลงดงามลงตัว

   ซึ่งอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จัดแบ่งพื้นที่หลักออกเป็นสามส่วน ได้แนวคิดมาจากคัมภีร์ไตรภูมิกถาที่แบ่งภพภูมิเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ บาดาล โลกมนุษย์ และสวรรค์
    ชั้นสุวรรณภูมิ ชั้นล่างสุดเป็น “ชั้นใต้ดินหรือบาดาล” จัดแสดงโบราณวัตถุเครื่องกระเบื้อง ในชั้นนี้ต้องการสื่อความหมายทางวัฒนธรรมของคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งโบราณเรียกว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ โบราณวัตถุที่นำมาสื่อความหมาย คือ ภาชนะดินเผาที่เรียกว่าเครื่องกระเบื้อง ประเภทภาชนะที่นำมาจัดแสดง อาทิ เครื่องสังคโลก ภาชนะเครื่องกระเบื้องแบบลพบุรี เครื่องเบญจรงค์ และเบญจรงค์ลายน้ำทอง เป็นต้น
    ชั้นโลกมนุษย์ ชั้นกลางเป็นส่วนอาคารที่รองรับตัวช้างคือ “ชั้นโลกมนุษย์” เป็นบริเวณตัวอาคารทรงกลมที่รองรับน้ำหนักของตัวช้าง เล่าถึงเรื่องราวสะท้อนแก่นพระศาสนาที่ค้ำจุนโลกมนุษย์ให้เกิดศานติผ่านเสาเคาะดุนโลหะ ภายในอาคารเป็นภาพเรื่องราวอันแฝงด้วยคติธรรมทางศาสนา ภายในอาคารประดับตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ ด้วยเครื่องถ้วยเบญจรงค์และลวดลายปูนปั้นอวดฝีมือภูมิปัญญาแห่งช่างไทยได้อย่างวิจิตร ผสมผสานศิลปะของโลกตะวันตกอย่างกลมกลืนด้วยเพดานอาคารห้องโถงอันเปรียบเสมือนหลังคาโลก ตกแต่งเป็นรูปแผนที่โลกขนาดใหญ่บนงานกระจกสี (stained glass) เป็นผลงานของ Mr.Jacob Schwarzkopf ศิลปินชาวเยอรมัน ซึ่งต้องบอกว่างดงามจริง ๆ ค่ะ
    ชั้นจักรวาล ชั้นสามคือส่วนในตัวช้างเป็นส่วนที่อยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป ตามคติในไตรภูมินั้นสรวงสวรรค์ เรียกว่า “ชั้นจักรวาล” เป็นบริเวณภายในตัวอาคารรูปช้าง จัดแสดงโบราณวัตถุ คือ พระพุทธรูปโบราณสมัยต่าง ๆ ซึ่งจัดแสดงในลักษณะของการประดิษฐานให้สมกับความที่เป็นสิ่งเคารพบูชาอันเป็นค่าควรเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม

    ในส่วนของภายนอกอาคารก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ ซึ่งในพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณแห่งนี้ เปิดให้สักการะจุดไหว้เพื่อความเป็นมงคล และให้ขอพรกันถึง 9 จุด ซึ่งอยู่บริเวณรอบ ๆ ตัวอาคารช้างเอราวัณ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ และขอพรไปได้ในเวลาเดียวกันด้วยค่ะ
    จุดที่ 1 พระเกศจุฬามณีเจดีย์ สร้างขึ้นเพื่อแทนพระเกศจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่บรรจุพระจุฬา (จุก) กับพระเมาลี (มวยผม) ปิ่นปักผม เครื่องรัดมวยผมและพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าโคดม ซึ่งพระอินทร์สร้างขึ้นด้วยรัตนะ 7 ประการ ตามที่กล่าวไว้คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ชั้นล่างขององค์เจดีย์ประดิษฐานด้วยพระพุทธรูปแสดงปางต่างๆ ในคติพระพุทธรูปประจำวันเกิดที่จะอำนวยพรความเป็นสุขให้คนที่เกิดในแต่ละวัน
    จุดที่ 2 ศาลาพระพรหม ประดิษฐานประติมากรรมพระพรหมปางประทับนั่ง พระพรหมเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ร่วมกับพระศิวะ และพระวิษณุ ในคติพราหมณ์ – ฮินดู เป็นเทพผู้มี สี่พักตร์ สี่กร ในพระหัตถ์ถือ คัมภีร์ สร้อยประคำ หม้อน้ำ และช้อนตักเนย พระพรหมเป็นสัญลักษณ์ของผู้สร้าง นิยมกราบไหว้เพื่อขอพรด้านความสำเร็จในชีวิตและความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
    จุดที่ 3 ช้างตระกูลวิษณุพงศ์ เป็นหนึ่งในตระกูลของช้างเทวดาที่เทพผู้เป็นใหญ่สร้างให้กำเนิดขึ้น ตามที่กล่าวไว้ในตำราคชลักษณ์ ช้างตระกูลนี้สร้างขึ้นจากการบันดาลของพระวิษณุ มีทั้งหมด 8 องค์ มีคุณวิเศษในการบันดาลทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งร่ำรวย และเมื่อเราเดินลอดท้องช้าง จะมีเสียงช้างร้องด้วยนะคะ
  

    จุดที่ 4 พระตรีมูรติ เป็นการสร้างเทพผู้เป็นใหญ่ทั้งสามในคติแบบพราหมณ์ – ฮินดู คือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม รวมร่างผสานลักษณะทางสรีระและเทวูปโภคของเทพแต่ละองค์รวมกันในรูปหนึ่งเดียว พระตรีมูรติองค์นี้แสดงท่าประทับนั่ง มีห้าเศียร หกพระกร พระกรหน้าคู่แรกแสดงมุทราประทานพร อีกสองคู่ถัดไปถือเทวูปโภคประจำพระองค์ของเทพทั้งสาม คือ หม้อน้ำ บัณเฑาะว์ ตรีและจักร พระตรีมูรติองค์นี้ถือเป็นปางประทานมหาสมบัติ จะอำนวยพรให้ในทุก ๆ ด้าน ทั้งมนุษย์สมบัติ สุขภาพและความสำเร็จสมหวังทุกประการ แอบกระซิบนิดนึงนะคะว่าเหมาะสำหรับขอพรเรื่องความรักมาก ๆ ค่ะ
    จุดที่ 5 ช้างตระกูลอิศวรพงศ์ เป็นหนึ่งในตระกูลของช้างเทวดาที่เทพผู้เป็นใหญ่สร้างให้กำเนิดขึ้น ตามที่กล่าวไว้ในตำราคชลักษณ์ ช้างตระกูลนี้สร้างขึ้นจากการบันดาลของพระอิศวรหรือพระศิวะ มีทั้งหมด 8 องค์ มีคุณวิเศษในการบันดาลความแข็งแรงด้านสุขภาพ ความมีอำนาจวาสนาและความเจริญในตำแหน่งหน้าที่
    จุดที่ 6 พระพิฆเนศวร เป็นเทพตามคติแบบพราหมณ์ – ฮินดู มีลักษณะพิเศษคือ เศียรเป็นช้าง กำเนิดจากพระศิวะและพระแม่อุมาชายา พระพิฆเณศองค์นี้ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ท่า “ลลิตาสนะ” มี 4 พระกร เป็นเทพแห่งอุปสรรค คือ ขจัดอุปสรรคให้ผู้ทำความดีและสร้างอุปสรรคให้ผู้ทำชั่ว ถือเป็นเทพแห่งศิลปศาสตร์ทั้งปวง และประทานพรด้านความสำเร็จ

    จุดที่ 7 พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิม เป็นพระโพธิสัตว์ในคติของศาสนาพุทธมหายาน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตาและความกรุณา มีรูปลักษณะอย่างศิลปะจีน ประทับยืนท่าประทานพร พระหัตถ์ซ้ายถือเต้าน้ำมนต์และแสดงอาการหลั่งน้ำมนต์ ปางนี้ทรงประทานพรด้านสุขภาพให้แข็งแรงปราศจากโรคภัย
    จุดที่ 8 พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประติมากรรมนี้แสดงท่าพระอินทร์เทวดาผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กำลังทรงเทวพาหนะคู่พระทัยคือ ช้างเอราวัณ กำลังลอยบนนภากาศเพื่อตรวจเยี่ยมสอดส่องความสงบเรียบร้อยบนสวรรค์และในโลกมนุษย์ จะประทานพรช่วยเหลือผู้กระทำความดีแก้ไขเหตุการณ์ร้ายให้เป็นปกติสุข
    จุดที่ 9 ช้างตระกูลพรหมพงศ์ เป็นหนึ่งในตระกูลของช้างเทวดาที่เทพผู้เป็นใหญ่สร้างให้กำเนิดขึ้นตามที่กล่าวไว้ในตำราคชลักษณ์ ช้างตระกูลนี้สร้างขึ้นจากการบันดาลของพระพรหม มีทั้งหมด 10 องค์ มีคุณวิเศษในการบันดาลความรู้ สติปัญญาและความเฉลียวฉลาด
      

 เป็นยังไงบ้างคะ ได้สักการะและขอพรครบทุกด้านเลยทีเดียว     และในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์นั้นมีกฎระเบียบง่าย ๆ ให้ปฏิบัติตามดังนี้ค่ะ
        1. แต่งกายสุภาพ ห้ามสวมเสื้อแขนกุด สายเดี่ยว หรือชุดสวมสั้นเหนือเข่า
        2. ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้า
        3. เข้าชมด้วยความสุภาพ ห้ามส่งเสียงดัง
        4. รักษาความสะอาด
        5. ห้ามกระทำใด ๆ ให้เกิดการชำรุดเสียหายต่อสถานที่
        6. ห้ามนำอาหารเครื่องดื่มเข้าไปรับประทาน
        7. โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
    จบไป 1 วันสำหรับการท่องเที่ยววิถึใหม่ ปลอดภัยจาก COVID-19 สวมหน้ากากอนามัย พกเจล/สเปรย์แอลกอฮอล์ ล้างมือบ่อย ๆ เพียงเท่านี้ เราก็สามารถท่องเที่ยวได้อย่างอุ่นใจแล้วค่ะ หลังท่องเที่ยวกันหมดวัน เราคงต้องพักผ่อน @Rama จึงขอกล่าวคำอำลาในฉบับนี้และพบกับฉบับหน้า สวัสดีปีใหม่ 2565 ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขตลอดปีและตลอดไปค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก    https://www.erawanmuseum.com/
            https://www.facebook.com/ErawanMuseumSamutprakan/
            https://www.muangboranmuseum.com/landmark/พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 371 3135-6 หรือ Line: @ancientcitygroup
 

 

ดาวน์โหลดเพื่ออ่านรูปแบบ PDF
เนื้อหาภายในฉบับที่ 43