สวัสดีท่านผู้อ่าน @Rama ทุกท่านค่ะ ย่างเข้าปลายฝนต้นหนาวแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าปริมาณน้ำฝนในฤดูที่ผ่านมาทำให้ปริมาณน้ำบนพื้นดินในตอนนี้มีมากมายมหาศาล หลายพื้นที่ในประเทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่แล้ว หรือปลายปี 2565 เราจะส่งท้ายปีด้วยน้ำท่วมใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศมีน้ำท่วมใหญ่หลายต่อหลายครั้ง วันนี้ @Rama จึงขอรวบรวมเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สำคัญของประเทศไทยจากอดีตถึงปัจจุบันมาให้ผู้อ่านได้ทราบกันโดยสังเขปค่ะ
สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วม (ใหญ่) ครั้งแรกซึ่งมีปรากฏอยู่ในบันทึกนั้น เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 1 เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2328 หลังจากสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เสร็จไม่นานนัก ในจดหมายเหตุที่ค้นพบเล่าอุทกภัยครั้งนั้นทำให้ระดับน้ำที่สนามหลวงลึกถึง 8 ศอก 10 นิ้ว นักวิชาการและนักเขียนด้านประวัติศาสตร์สันนิษฐานสาเหตุที่น้ำลึกขนาดนั้นว่าอาจเป็นเพราะสนามหลวงในช่วงเวลานั้นยังเป็นที่ลุ่ม ขณะที่สภาพของพระบรมมหาราชวังก็มีสภาพน้ำท่วมท้องพระโรง ระดับน้ำที่ท่วมพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานวัดได้ 4 ศอก 8 นิ้วทีเดียว
ในรัชกาลที่ 3 น้ำท่วมเดือนพฤศจิกายนคราวนี้น้ำท่วมทั่วพระราชอาณาจักร และมากกว่าปี พ.ศ. 2328
เป็นอีกครั้งที่หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ ต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทาง น้ำท่วมบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า สูงถึง 1.50 เมตร และท่วมนานถึง 3 เดือน รวมถึงพื้นที่สำคัญอีกหลายแห่ง เช่น สถานีรถไฟหัวลำโพง ถนนเยาวราช อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภูเขาทอง ถนนราชดำเนิน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นต้น สถิติส่วนหนึ่งจากระดับน้ำหน้ากองรังวัดที่ดินธนบุรี ระดับน้ำสูง 2.27 เมตร นับเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่อย่างเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อมากักเก็บน้ำ
น้ำท่วมในปีนี้มีสภาพรุนแรงมาก เนื่องจากพายุดีเปรสชัน 2 ลูก พัดผ่านเข้ามายังประเทศไทย ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักจนเขื่อนและอ่างเก็บน้ำที่รองรับปริมาณน้ำฝนรับไม่ไหว จนเกิดเป็นน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ อีสาน และตะวันออก รวมเป็นหลังคาบ้านเรือนที่พักอาศัยกว่า 5,000 หลัง จากนั้นเกิดน้ำทะเลหนุน น้ำท่วมเข้า กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เกิดน้ำท่วมขัง รถยนต์ไม่อาจจะสัญจรวิ่งได้ตามปกติ
อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 หรือที่เรียกกันว่า มหาอุทกภัย เป็นอุทกภัยรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำโขง เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมและสิ้นสุดเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555 มีราษฎรได้รับผลกระทบกว่า 12.8 ล้านคน ธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท อุทกภัยครั้งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็น “อุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดทั้งในแง่ของปริมาณน้ำและจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ”
จากปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน 2554 มีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินรวมทั้งสิ้น 65 จังหวัด มีผู้เสียชีวิต 657 ราย สูญหาย 3 คน ประชาชนเดือดร้อนกว่า 4 ล้านครัวเรือนหรือราว 13.4 ล้านคน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2,329 หลัง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 96,833 หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 11.2 ล้านไร่
ค่าดัชนีชี้วัดอุณหภูมิผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกแนวเส้นศูนย์สูตร ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เริ่มบ่งชี้ภาวะลานีญามาต่อเนื่อง ซึ่งมีความหมายว่าอุณหภูมิผิวน้ำมหาสมุทรมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้ปริมาณฝนเกิดขึ้นมากกว่าปกติ ทั้งนี้ ข้อมูลดัชนีฯ ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ -1.1 แสดงถึง ภาวะลานีญาในระดับปานกลาง
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ “เอลนีโญและลานีญา” (El Niño , La Niña ) กันมาบ้างแล้ว แต่ยังคงสับสนกับปรากฏการณ์ดังกล่าวว่ามีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างไรบ้าง
โดยปกติแล้วในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือมหาสมุทรที่กั้นระหว่างทวีปเอเชียและทวีปอเมริกา มีกระแสลมหรือเรียกว่าลมค้า (Trade winds) ซึ่งพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลจากอเมริกาใต้มายังประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเหตุนี้จึงให้เกิดฝนตกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ด้วยปรากฏการณ์ เอลนีโญและลานีญา จะทำให้กระแสลมและกระแสน้ำอุ่นที่กล่าวมานั้นเกิดความแปรปรวน ส่งผลให้เกิดภาวะแห้งแล้งและฝนตกหนัก ตามลำดับ
เกิดจากกระแสลมมีกำลังอ่อนและเปลี่ยนทิศทางพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปฟิซิกไปด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปฟิซิก ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังทวีปอเมริกาใต้แทน ด้วยเหตุนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียขาดฝนและเกิดความแห้งแล้ง แต่ชายฝั่งของทวีปอเมริกาใต้กลับมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น
เกิดจากกระแสลมพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกมายังด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกตามเดิม แต่กระแสลมมีความรุนแรงมากกว่าปกติ ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียมีระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและฝนตกหนักมากกว่าปกติ ในทางตรงข้ามก็เกิดภาวะความแห้งแล้งตามแนวชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้
ในปี 2565 มีแนวโน้มปริมาณน้ำฝนมากกว่าระดับปกติ 3% ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำกว่าปี 2564 แต่ปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปกติจะเติมปริมาณน้ำในเขื่อนให้สูงขึ้น
ช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 ปริมาณน้ำทั้งหมดในเขื่อนขนาดใหญ่อยู่ที่ 56.5% ซึ่งเป็นระดับน้ำที่สูงสุดในรอบ 3 ปี และสูงกว่าปี 2554 (ปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่) ที่มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 55%
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าประเทศไทย ในปี 2565 จะเผชิญพายุหมุนเขตร้อนจำนวน 2 ลูก โดยเคลื่อนที่ผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม สถิติปริมาณพายุที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยย้อนหลังพบว่ามาตรฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ลูกต่อปี และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยที่ 2.6 ลูก
นอกจากปริมาณพายุแล้ว ยังเผชิญความเสี่ยงจากอิทธิพลของพายุ ที่ถึงแม้จะไม่ได้เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่อาจจะสลายตัวในบริเวณประเทศเพื่อนบ้านหรือเปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ประเทศไทยได้ สะท้อนจากค่าดัชนีสมุทรศาสตร์ที่เกี่ยวข้องโดยมีแนวโน้มจะมีค่าเป็นลบต่อเนื่องถึงสิ้นปี สะท้อนถึงปริมาณฝนที่จะตกในประเทศเพื่อนบ้านและเข้าสู่ไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2565 นี้ยังมีอีกหลายสัญญาณความเสี่ยงที่ควรจับตามอง เช่น ภาวะน้ำทะเลหนุน หรือปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงขึ้น ฉะนั้นเราควรติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้พลาดการเตือนภัย และหลีกเลี่ยงความเสียหายจากอุทกภัยให้ได้มากที่สุดค่ะ