เรื่องเล่าจากเต็นท์สนามหลวง

เรื่องเล่าจากเต็นท์สนามหลวง
Volume: 
ฉบับที่ 39 เดือนมกราคม 2564
Column: 
Camera Diary
Writer Name: 
นันทิตา จุไรทัศนีย์

 

ปี ๆ หนึ่งช่างผ่านไปรวดเร็วนัก 

เมื่อถึงเดือนตุลาคมคราใด ฉันยังอดคิดถึงใครบางคนไม่ได้ และถึงแม้เวลาจะผ่านมาแล้วถึง 4 ปี


    

๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือในหลวงรัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี

และในระหว่างวันที่ ๒๕–๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จัดขึ้น ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นวันถวายพระเพลิง

ในวันนั้นฉันได้มีโอกาสถวายงานท่านเป็นครั้งสุดท้ายและยังคงจดจำทุกรายละเอียดได้ดี

“หมอๆ” เสียงตะโกนดังมาจากฟากหนึ่ง

“ทหารเป็นลม !!!” ฉันหันขวับตามเสียงนั้นไปทันที เรามองตามนิ้วที่ชี้ไปในรั้วของเขตพระเมรุมาศ

“คุณหมอครับ เชิญทางนี้” เสียงทุ้มใหญ่ของทหารนายหนึ่งเรียกเบา ๆ แต่ในเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความรับผิดชอบในชีวิตของทหารอีกหลายนาย

ทีมของเราเตรียมพร้อมอยู่แล้วในการปฐมพยาบาล อาจารย์แพทย์คว้ากระเป๋ากู้ชีพและก้าวเท้าเดินไปอย่างรวดเร็ว รั้วของเขตพระเมรุมาศถูกเลื่อนเปิดออกเพื่อให้พวกเราได้เข้าไป 

“คุณหมอ รบกวนด้วยครับ” ร่างผึ่งผายของผู้บังคับบัญชาท่านนั้นทำความเคารพแก่พวกเรา 

ร่างกำยำของทหารนายหนึ่งถูกพยุงมา เราให้เขานอนราบบนผ้ายางที่ปูเตรียมไว้ ผิวสีเข้มจัดตัดกับชุดสีส้ม ความร้อนจากร่างกายนั้นทำให้เราต้องเร่งมือ

“คลำชีพจรไม่ได้ค่ะอาจารย์” น้องพยาบาลรายงาน 

“ชีพจรเบามาก” อาจารย์บอกพลางสบตาเรา 

“ขออนุญาตนะคะ” ผู้บังคับบัญชาพยักหน้า ฉันรีบใช้ผ้าเย็นที่เตรียมมาเช็ดหน้า ปลดกระดุมเสื้อและเช็ดตัวให้ทหารนายนั้น 

ความร้อนจากร่างกายแผ่ขยายออกมาจนรู้สึกได้ ฉันเปลี่ยนผ้าผืนใหม่แทนผืนเก่าที่ไม่มีความเย็นหลงเหลืออยู่

“ชีพจรไม่แรงขึ้นเลย” อาจารย์ส่ายหน้า พลางสบตาเราด้วยความหนักใจ “มีมือเท้าชามั้ยครับ”

ใบหน้าเกรียมแดด เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดเต็มหน้า ตาสองข้างยังคงหลับสนิท ริมฝีปากซีดจนน่าตกใจนั้นพยายามจะพูดกับเรา แต่เกินความสามารถที่จะทำได้ เขาได้แต่พยักหน้าให้เรา 

“นอนชันเข่าครับ เลือดจะไหลเวียนกลับหัวใจได้เร็วขึ้นนะ” อาจารย์แพทย์แนะนำ เข่าสองข้างค่อย ๆ ชันขึ้นอย่างอ่อนแรง น้องพยาบาลช่วยประคองขาสองข้างนั้น “ยกแขนสูง ช่วยนวดมือจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น” 

ฉันจับมือนั้นขึ้นมา ฝ่ามือที่หยาบกร้าน หลังมือที่เกรียมแดดไม่แพ้ใบหน้า แต่เล็บกลับซีดเหมือนกับริมฝีปากนั้นเลยทีเดียว

“คลำชีพจรได้แล้วค่ะ แต่ยังเบามาก” น้องพยาบาลรายงานเป็นระยะ

เรายังคงให้การปฐมพยาบาลต่อไป

อาจารย์แพทย์คลำชีพจรอีกครั้ง “เบามาก” อาจารย์แพทย์ส่ายหน้า “ผมว่าไม่ไหว เราต้องพาเขาไปเต็นท์พยาบาลเพื่อดูแลต่อ”

ฉันยก speakerphone ของวิทยุสื่อสารขึ้นมาเพื่อ ว. ขอเปลสนาม แต่ทันใดนั้นฉันสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออันหยาบกร้านจับที่มืออีกข้าง

“พี่ครับ ผมขอ” ฉันหยุดมือแล้วมองหน้าเขา “อีกนิดเดียว” ริมฝีปากของนายทหารตรงหน้าขยับเบา ๆ “อีกแค่นิดเดียว พิธีจะจบแล้ว ผมขอนะ.....”

พวกเราสบตากันด้วยความหนักใจ “ผมว่าคุณอาจจะไม่ไหว ตอนนี้ชีพจรคุณเบามาก ผมคิดว่าเราจะต้องดูแลคุณต่อจนกว่าอาการจะดีขึ้นกว่านี้” 

นายทหารส่ายหน้า “นะครับ อีกนิดเดียวนะพี่ ครั้งสุดท้ายแล้ว ผมขอนะครับ ขอผมกลับไป…..” เสียงวิงวอนนั้นทำให้เราหนักใจอย่างมาก พิธีนี้สำคัญมากขนาดไหนพวกเรารู้ดี ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะมีโอกาสถวายงานท่าน มันเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในชีวิตนี้

ฉันเงยหน้ามองพระเมรุมาศ สีทองของพระเมรุมาศตัดกับสีฟ้าสดของท้องฟ้า ความสวยงามนั้นมากพอ ๆ กับความโศกเศร้าของประชาชนหลายสิบล้านคน

ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเพียงก้อนดินก้อนหนึ่งเท่านั้นในที่แห่งนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเมรุมาศอันยิ่งใหญ่และสง่างาม แต่ฉันก็เป็นก้อนดินในผืนแผ่นดินของประเทศไทย เป็นดินของพ่อที่จะช่วยให้ต้นไม้ต่าง ๆ เจริญเติบโต และช่วยพยุงรากเหง้าของความเป็นไทยให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

ทุกคนเข้าใจความรู้สึกของทหารนายนี้เป็นอย่างดี และเราต้องช่วยให้ความตั้งใจของเขาสำเร็จให้ได้

“ถ้าตอนนี้อมลูกอมได้มั้ย” อาจารย์แพทย์เกรงว่าตอนหมดสติอาจจะมีการสำลัก

“ได้ครับ” ริมฝีปากแห้งผากขยับให้ฉันเอาลูกอมใส่ปาก 

“ค่อย ๆ กลืนน้ำลายนะครับ ถ้าได้น้ำตาลอาการอาจจะดีขึ้น” 

๒-๓ นาทีผ่านไป ทหารหนุ่มที่นอนแน่นิ่งตรงหน้าพวกเรานานนับสิบนาทีค่อย ๆ กระพริบตาและลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงแดดจ้าจากพระอาทิตย์ตกกระทบลงที่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น

“รู้สึกยังไงบ้าง” 

“ดีขึ้นแล้วครับ” ร่างนั้นค่อย ๆ ขยับตัวจะลุกนั่ง พวกเราช่วยกันประคองเขาขึ้นมา

“ผมขออนุญาตกลับไปประจำที่นะครับ” เสียงนั้นแข็งขันจนเรารู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม

เราสบตากัน อาจารย์แพทย์พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้กลับไปได้

นายทหารหนุ่มติดกระดุม รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย พวกเราประคองให้เขายืนขึ้น แล้วผู้บังคับบัญชาก็มารับตัวไปประจำที่ยังตำแหน่งเดิม

หมดหน้าที่ของพวกเราแล้ว

เราก้าวออกจากเขตรั้วของพระเมรุมาศ ลงบันได ๓-๔ ขั้น และหันไปมองทหารนายนั้นอีกครั้ง

“อาจารย์คิดว่าเค้าจะไหวมั้ยคะ” ฉันเป็นห่วงว่าทหารนายนั้นอาจจะเป็นลมอีกครั้ง

“ก็มีโอกาสนะ น้ำตาลในลูกอมอาจไม่ได้ช่วยอะไรมาก” นายแพทย์หนุ่มยิ้ม “แต่ผมว่าใจเค้าไหวเกินร้อย ถ้าเป็นอะไรพวกเราก็พร้อมที่จะดูแลพวกเค้าตลอดเวลา .....”

พวกเรากลับไปประจำที่ ณ ตำแหน่งเดิมเช่นกัน พระเมรุมาศสีทองอร่ามสะท้อนแสงแดดระยิบระยับจับตาเกินกว่าจะเอ่ยคำว่างดงาม แต่เป็นความสมพระเกียรติกับพระมหากรุณาธิคุณที่ท่านทรงประทานให้แก่พวกเราตลอดมา

“หมอๆ” เราหันไปตามเสียงเรียกอีกครั้งหนึ่ง

“ทางนี้มีคนเป็นลม !!”

เราคว้ากระเป๋าแล้วก้าวเดินออกไปอีกครั้งพร้อมกัน

เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร @RAMA ขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ จะขอนำหลักคำสอนมาใช้ในการดำเนินชีวิตและขอเดินตามรอยเท้าของพ่อตลอดไป

Column File (PDF): 
เนื้อหาภายในฉบับที่ 39