นิตยสารทุกฉบับ
รวมนิตยสาร
บทความประจำ
เลือกดูบทความจากทุกเล่ม
ค้นหาบทความ
ค้นหาจากหัวข้อ

Mommy Variety

Volume
ฉบับที่ 38 เดือนตุลาคม 2563
Column
Camera Diary
Writer Name
นันทิตา จุไรทัศนีย์

สวัสดีเดือนกันยายน เนื่องในโอกาสที่ @Rama ฉบับนี้ตีพิมพ์ออกมาหลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน คอลัมน์ Camera Diary จึงมีเรื่องของคุณแม่หลากหลายรูปแบบมาฝาก ซึ่งอาจจะมีเรื่องราวที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอ และบางเรื่องอาจจะทำให้ประทับใจก็เป็นได้

ฉัน ได้รับการส่งปรึกษาคนไข้รายหนึ่งจากหอผู้ป่วยสูติกรรม หอผู้ป่วยอันเป็นสถานที่แห่งความสุขแห่งเดียวของโรงพยาบาลก็ว่าได้ เพราะบรรดาแม่ ๆ ที่ตั้งครรภ์มานานนับ 9 เดือนจะได้พบเจอหน้าลูกน้อยเสียที

เมื่ออ่านรายละเอียดการส่งปรึกษาในมือกลับทำให้ฉันต้องครุ่นคิด... เด็กหญิงอายุ 12 ปีมาที่หอผู้ป่วยสูติกรรมเพื่ออะไร

เมื่อไปถึงเตียงผู้ป่วย ฉันสบตากับดวงตากลมโต พลันเด็กหญิงกลับก้มหน้ามองพื้น การไม่สบตากับใครน่าจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากกว่า

รายละเอียดในแฟ้มผู้ป่วยบอกฉันให้ได้รู้ว่าเธอมาโรงพยาบาลด้วยเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อม และผู้ปกครองต้องการยุติการตั้งครรภ์ เนื่องจากไม่สามารถเลี้ยงดูได้และเด็กต้องกลับไปศึกษาต่อ แต่เมื่อแพทย์ทำการตรวจครรภ์กลับพบว่าอายุครรภ์มากถึง 28 สัปดาห์หรือเท่ากับ 7 เดือน ทำให้ไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ จำเป็นต้องตั้งครรภ์ต่อไปจนคลอด เท่ากับว่าแผนการดูแลเด็กหญิงและลูกต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่ยอมบอกว่าใครเป็นผู้กระทำ

บ้านพักเด็กและครอบครัว กรุงเทพมหานคร ได้รับตัวเธอเข้าไปอยู่ในความคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองเด็ก ทำการแจ้งความ และเมื่อคลอดก็มีการเก็บวัตถุพยานเพื่อเป็นหลักฐานในการจับคนร้าย

ด้วยความที่เด็กหญิงไม่มีแม่ และพ่อไม่สามารถดูแลทั้งสองได้ จึงตัดสินใจฝากเธอไว้ในสถานคุ้มครองของรัฐจนกว่าจะจับผู้กระทำได้ และฝากหลานตัวน้อยไว้ในความดูแลของสถานสงเคราะห์

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เด็กหญิงตัดสินใจบอกกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กว่าใครเป็นผู้ล่วงละเมิดเธอ “หลวงปู่” เธอเงียบไปอึดใจ “เค้าเป็นปู่ของหนูเอง แต่เค้าบวชเป็นพระ...”

ศาลออกหมายจับทันที แต่ไม่ทัน คุณปู่รู้ตัวและหนีออกจากพื้นที่ไปเสียก่อน

เด็กหญิงได้เรียนต่อในโรงเรียนของสถานคุ้มครองหลังจากหยุดเรียนมา 2 ปี และในทุก ๆ ปิดเทอม เธอและลูกจะได้พบหน้ากันครั้งละ 2-3 ชั่วโมง

“แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับหนู” เธอเอ่ย “หนูจะตั้งใจเรียน รีบเรียนให้จบ มีงานทำ แล้วรับลูกออกมาอยู่ด้วยกัน” นี่คือคำพูดของเด็กอายุ 12 ปีที่บอกกับฉัน

หลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปีจนฉันเกือบจะถอดใจในการจับคนร้าย แต่ในที่สุดตำรวจก็จับผู้กระทำผิดได้ ด้วยจำนนต่อหลักฐานและวัตถุพยาน จึงยอมรับสารภาพทั้งหมด

หลวงปู่ได้จำคุกแทนจำวัดยาว ๆ ไป 20 ปี

“เช้าวันหนึ่ง” ฉันได้รับการติดต่อจากคนรู้จักให้ช่วยให้คำปรึกษาแก่คนไข้คนหนึ่งที่กำลังเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย

ฉันให้หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวไป เนื่องจากเรื่องที่ผู้ป่วยขอปรึกษานั้นเป็นเรื่องที่ส่วนตัวมากทีเดียว

ไม่นานนักเราก็ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก

“พี่คะ” เสียงจากปลายทางสั่นจนสัมผัสได้ “หนูโทรมาตามเบอร์ที่เพื่อนให้มาค่ะ” และเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจอย่างชัดเจน “พี่พอจะช่วยหนูได้มั้ยคะ...”

บางครั้ง ... ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังลักลอบทำอะไรผิดกฎหมายอยู่หรือเปล่า ทำไมมันดูมีความลับลมคมในน้ำเสียงนั้นนัก

เสียงจากฝั่งตรงข้ามขาดหายไปราวกับกำลังรอคอยคำตอบอะไรบางอย่าง

“ค่ะ” ฉันตอบออกไปเพียงสั้น ๆ

“พี่คะ ได้โปรด... ช่วยหนูด้วยนะคะ” 

สองสัปดาห์ต่อมาหญิงสาวกลับไปเรียนตามปกติ ต้นแขนด้านในข้างซ้ายยังมีรอยช้ำจาง ๆ หลังจากฝังยาคุมกำเนิด หน้าท้องที่เคยนูนนั้นกลับแบนราบเหมือนกับสาวรุ่นทั่ว ๆ ไป หลังจากนี้เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตั้งครรภ์ไปอีก 5 ปี

อย่างน้อยฉันก็ช่วยให้เด็กคนหนึ่งได้เรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่เป็นแม่ก่อนวัยอันควร และหวังว่าเธอจะเป็นแม่ที่ดีต่อไปในอนาคตได้

ฉันตอบตัวเองในสิ่งที่ทำ และดูเหมือนจะเป็นการปลอบใจตัวเองเสียมากกว่าจะตอบถึงสิ่งที่ได้กระทำลงไป

แดดยามสายส่องผ่านทะลุทะลวงไปยังทุกส่วนของร่างกาย หยดเหงื่อไหลรวมกันจนรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ฉันยืนอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้าใจกลางเมืองหลวง แผนที่ในมือบอกทางให้เดินเท้าต่อไป เพียงแค่ข้ามถนนแล้วฉันจะได้พบกับรางรถไฟของจริง

เหนือหัวขึ้นไปเป็นรางคู่ของรถไฟฟ้า ใต้เท้าที่ขรุขระเต็มไปด้วยหินเป็นรางเดี่ยวของรถไฟไทย ช่างเป็นคู่ขนานที่ลงตัวเสียจริง

“หมอ ๆ มาหาใคร” ฉันหันตามเสียงเรียกพลางบอกจุดหมายปลายทางที่ต้องการ

“มา ๆ เดี๋ยวฉันพาไป ฉันเป็น อ.ส.ม. อยู่ในชุมชนนี้ ฉันรู้จักบ้านนังหนูนี่ มันอยู่ริมทางรถไฟนี่แหละ”

“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบพลางเดินตามไป

“อีกล้วยยยย หมอมาหา” เสียงตะโกนทำเอาฉันตกใจ คนอื่นเขาจะคิดไปไกลไหมนึกว่าฉันมาทวงหนี้

“พยาบาลมาเยี่ยมคุณกล้วยค่ะ” ฉันแจ้งความจำนงค์กับหญิงสูงวัยตรงหน้า เธอเดินไปเปิดประตูห้องเล็ก ๆ ด้านใน

“แกนัดหมอไว้ทำไมไม่ออกไปรับ ต้องให้หมอเค้าเดินหาบ้านจนหัวเปียก” แม่สามีของกล้วยเสียงดังไม่แพ้กัน “หมอมาดูมันกับลูกหรอ” เธอหันกลับมาถาม

“ใช่ค่ะ มาเยี่ยมดูว่าแม่กับลูกแข็งแรงดีมั้ย” ฉันมองไปที่กล้วยกับลูก เธอหลบสายตาฉันแวบหนึ่ง

“งั้นก็ตามสบายเถอะนะ” 

“ค่ะ” ฉันรับคำสั้น ๆ แล้วหันไปดูลูก

“หนูเลิกยาแล้วนะหมอ” กล้วยจ้องหน้าฉัน “หนูพูดจริง ๆ นะ ตั้งแต่ไปโรงพยาบาลคลอดมันมา หนูก็ไม่ได้ยุ่งอีกเลย”

“เลิกอะไรบ้าง”

“ก็ทั้งหมดนั่นแหละ บุหรี่ เหล้า ไอซ์ แล้วก็กัญชา” ท้ายประโยคเธอเสียงอ่อย

ฉันเลิกคิ้ว สบตาเธอเพื่อความมั่นใจ “จริง ๆ นะหมอ” คราวนี้เธอเสียงดังขึ้น

หลังจากตรวจร่างกายกล้วยและลูกพบว่าอาการทั่วไปปกติ เจ้าตัวน้อยแข็งแรงดี ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะเสพกัญชาทุกวันจนกระทั่งคลอดก็ตาม

และนี่คือเหตุผลที่ฉันต้องมาเยี่ยมเธอและลูกถึงบ้านนั่นเอง

“แกร๊ง” เสียงช้อนสแตนเลสคันหนากระทบกับจานกระเบื้องเบา ๆ แก้มขาวอมชมพูกำลังขยับตามแรงเคี้ยวของเจ้าของช้อนคันนั้น ดวงตากลมเล็ก หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นตามรอยยิ้มของสาวน้อย ใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้บ่งบอกให้รู้ว่าเธอเป็นเด็กในกลุ่มอาการดาวน์ (ดาวน์ซินโดรม - Down’s syndrome) มือป้อมสั้นกำลังตักข้าวเข้าปากอีกครั้ง น่าแปลกใจที่น้อยครั้งนักจะได้เห็นเด็กดาวน์สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขนาดนี้ในที่สาธารณะ

ข้าวคำสุดท้ายเข้าปากของเด็กหญิง รอยยิ้มของผู้เป็นแม่ผุดขึ้นตามมา หญิงวัยกลางคนที่เฝ้ามองเธอด้วยความรัก ความภูมิใจเล็ก ๆ แบบนี้เราอาจพบได้ในทุกวัน แต่สำหรับครอบครัวของเด็กดาวน์ต้องแลกมาด้วยความพยายามของผู้ดูแล

เสียงสมาร์ทโฟนดังขึ้น ทำให้เราต้องเบนสายตาจากเด็กน้อยคนนั้นไปยังต้นเสียง

“ค่ะ กำลังทานข้าวกันค่ะ” เสียงผู้เป็นแม่ตอบกลับไป 

“คุณพ่ออยากคุยด้วยจ้ะ” คุณแม่ส่งโทรศัพท์ข้ามโต๊ะมายังเด็กน้อย

“ค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง เสียงสนทนายังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความสุขของทุกคนในครอบครัว

ฉัน มีโอกาสได้คุยกับญาติคนไข้คนหนึ่งอายุ 63 ปี คุณยายทำงานก่อสร้างตั้งแต่สาว ๆ จนกระทั่งถึงวัยเกษียณ หญิงสูงวัยเล่าให้ฟังว่าสามีจากไปตั้งแต่ลูก 3 ขวบ จึงยึดอาชีพก่อสร้างหาเลี้ยงตัวเองและลูก โชคดีได้งานที่บริษัทมีชื่อแห่งหนึ่ง

“เรามันจบป.4 ได้งานที่นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว”

“ยายมีประกันสังคมด้วยนะ บริษัทเค้าทำให้” คุณยายดวงตาเป็นประกายขณะพูดให้ฟัง

“ยายเคยสร้างตึกสูง 40-50 ชั้นเชียวนะ สีที่ทาผนังน่ะ ฝีมือยายเอง” หญิงชราเล่าอย่างภาคภูมิใจ

“ที่เลี้ยงลูกโตมาได้น่ะก็ด้วยสองมือนี้แหละ” ดวงตาสีเทาก้มมองสองมือพลางน้ำตารื้นและคงมีความหมายมากมายอยู่ในใจ

คุณยายเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี และได้เงินมาก้อนหนึ่ง จึงหันหลังให้กรุงเทพฯ กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด แต่วันนี้คุณยายเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้งเพื่อมาเยี่ยมเหลนคนแรกของครอบครัว “ฉันมีลูก ลูกฉันมีหลาน หลานฉันมีเหลน ทุกคนเป็นแม่กันหมดแล้วนะ” เธอยิ้มให้ฉันอีกครั้งอย่างดีใจ

เนื่องในวันแม่ 2563 @Rama ขอร่วมเทิดทูนพระคุณแม่ และขอขอบคุณผู้เป็นแม่ทุกคนบนโลกใบนี้ที่สรรสร้างให้ลูก ๆ ได้เติบโตจวบจนปัจจุบัน

ดาวน์โหลดเพื่ออ่านรูปแบบ PDF
Mommy Variety1006.71 KB
เนื้อหาภายในฉบับที่ 38