นิตยสารทุกฉบับ
รวมนิตยสาร
บทความประจำ
เลือกดูบทความจากทุกเล่ม
ค้นหาบทความ
ค้นหาจากหัวข้อ

โรคหัด (Measles)

Volume
ฉบับที่ 33 เดือนมีนาคม 2562
Column
Health Station
Writer Name
อ. ดร. นพ.นพพร อภิวัฒนากุล ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

โรคหัด (Measles)

โรคหัดเป็นไข้ออกผื่นชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Morbillivirus มักพบในเด็กเล็ก แต่ก็อาจพบในเด็กโตหรือในผู้ใหญ่ได้ โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังเพราะสามารถติดต่อกันได้ง่าย และในบางครั้งอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แต่ยังไม่มียารักษาเฉพาะ

ลักษณะอาการของโรคหัด

โรคหัดมีระยะฟักตัวประมาณ 8-12 วัน หลังจากระยะฟักตัวแล้วจะเริ่มมีอาการดังนี้

  1. ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้สูง อ่อนเพลีย มีอาการไอที่เด่นชัด ร่วมกับมีอาการตาแดง อาจมีอาการเหมือนอาการแพ้แสงร่วมด้วย ผู้ป่วยจะมีอาการในระยะนี้ประมาณ 2-4 วัน ในระยะนี้ช่วงก่อนผื่นขึ้นอาจพบจุดขาว ๆ บนพื้นแดงที่บริเวณกระพุ้งแก้มเรียกว่า Koplik spot หากพบจุดขาว ๆ นี้  จะสามารถวินิจฉัยได้ค่อนข้างแน่นอนว่าเป็นโรคหัด
  2. ระยะผื่น หลังจากมีไข้สูง ไอ ตาแดง 2-4 วัน  ผู้ป่วยก็จะเริ่มมีผื่นแดง ๆ  ขึ้น โดยเริ่มที่ศีรษะ บริเวณไรผม กระจายไปตามลำตัว ไปยังแขนขา ลักษณะผื่นช่วงแรกจะเป็นสีแดง ต่อมาจะกลายเป็นสีคล้ำอยู่รวมกันเป็นปื้น ในช่วงนี้ผู้ป่วยจะยังมีไข้สูง ไอ ตาแดงอยู่ อาจมีต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วยได้ ระยะนี้จะอยู่ราว 3-4 วัน จากนั้นไข้จะลดลง ผื่นอาจอยู่ได้ถึง 1 สัปดาห์ และอาการไออาจอยู่ได้ถึง 2 สัปดาห์

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ในผู้ป่วยโรคหัด ได้แก่ ภาวะปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ ถ่ายเหลว สมองอักเสบ รวมถึงการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยภาวะแทรกซ้อนพบได้ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยโรคหัด ภาวะถ่ายเหลวจะเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ที่มีโอกาสพบภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้น ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่นรับประทานยากดภูมิ ได้รับเคมีบำบัดอยู่) หญิงตั้งครรภ์ เด็กอายุน้อย โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 1  ปี ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะทุพโภชนาการ

การแพร่เชื้อ

โรคหัดเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย ด้วยการติดต่อทางการหายใจ ติดต่อผ่านทางการไอ จาม พบว่าเชื้อไวรัสที่ออกมาสามารถอยู่ในอากาศได้นานถึง 2  ชั่วโมง และพบว่าผู้ที่สัมผัสเชื้อและยังไม่มีภูมิคุ้มกันมีโอกาสติดโรคหัดได้ถึงร้อยละ 90 ซึ่งผู้ป่วยโรคหัดสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ถึง 4 วันหลังผื่นเริ่มขึ้น

การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาจำเพาะ เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การให้ยาลดไข้ ให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ การรับประทานวิตามินเอเสริมในผู้ป่วยโรคหัดจะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง และลดอัตราการเสียชีวิตได้

แนวทางการป้องกันโรคหัด

เนื่องจากโรคหัดแพร่จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งได้ง่าย ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคหัด ควรรายงานให้ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบ เพื่อช่วยในการควบคุมการแพร่ของเชื้อ ต้องค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ที่ยังได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดไม่ครบ หรือผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนและยังไม่เคยเป็นหัด เพื่อจะแยกคนกลุ่มนี้ออกมาไม่ให้ไปสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค และหากได้สัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคแล้ว ก็ต้องเฝ้าระวังว่าจะเป็นโรคหรือไม่

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคหัด ซึ่งเป็นวัคซีนรวมโดยมีวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และโรคคางทูมอยู่ด้วยในประเทศไทยแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่ออายุ 9 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง

เนื้อหาภายในฉบับที่ 33