นิตยสารทุกฉบับ
รวมนิตยสาร
บทความประจำ
เลือกดูบทความจากทุกเล่ม
ค้นหาบทความ
ค้นหาจากหัวข้อ

Pandemic Endemic Epidemic และ Outbreak ระบาดยังไง? ต่างกันยังไงนะ?

Volume
ฉบับที่ 38 เดือนตุลาคม 2563
Column
Vocab With Rama
Writer Name
นู๋โน โกอินเตอร์, นู๋นัน สะพายกล้อง

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประเด็นร้อนแรงที่สุดในแวดวงการแพทย์และสาธารณสุข คงหนีไม่พ้นเรื่องของการระบาดไปทั่วโลกของ COVID-19 ที่เมื่อช่วงต้นปี Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้ออกมาประกาศชัดเจนว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้น ได้แพร่กระจายออกจากประเทศจีน เข้าสู่ระดับ “Pandemic” แล้ว

นับแต่นั้นมา เราก็จะได้ยินคำว่า Pandemic มาตลอด หลายต่อหลายครั้งทางสื่อต่าง ๆ แต่ Pandemic นั้นเหมือนหรือต่างจากการระบาดที่เราคุ้นเคยอย่างไร  แรกสุดเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการระบาดนั้นมีถึง 4 ระดับด้วยกัน ได้แก่ ระดับที่ 1 เรียกว่า Endemic (โรคประจำถิ่น) อ่านว่า เอนเดม‘มิคฺ คือ โรคที่เกิดขึ้นประจำในพื้นที่นั้น กล่าวคือมีอัตราป่วยคงที่และสามารถคาดการณ์ได้ โดยขอบเขตของพื้นที่อาจเป็นเมือง ประเทศ หรือใหญ่กว่านั้นอย่างกลุ่มประเทศ หรือทวีป เช่น ไข้เลือดออกในประเทศไทย โรคมาลาเรียในทวีปแอฟริกา ระดับต่อมาคือที่ 2 คือ Outbreak (การระบาด) อ่านว่า เอาท‘เบรคฺ  คือ เหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นผิดปกติ ทั้งในกรณีโรคประจำถิ่น แต่มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าที่คาดการณ์ หรือในกรณีโรคอุบัติใหม่ ถึงแม้จะมีผู้ป่วยเพียงรายเดียว เช่น การระบาดของไข้เลือดออกในปี 2562 การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งต่อมา กลายเป็น Epidemic (โรคระบาด) อ่านว่า เอพพิเดม’มิคฺ ซึ่งเป็นการระบาดของโรคที่แพร่กระจายกว้างขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งโรคระบาดที่แผ่ไปในพื้นที่ที่กว้างขึ้นนั้นเป็นการระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อเกินกว่าที่คาดการณ์ได้ เช่น โรคอีโบลาที่ระบาดในทวีปแอฟริกาตะวันตกในปี 2557-2559 การระบาดของ COVID-19 ในประเทศจีน และระบาดต่อมายังประเทศอื่นในทวีปเอเชีย ซึ่งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ในช่วงแรกยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการก็ได้รับการเรียกขานว่า COVID-19 และค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด ก็เป็นระดับการระบาดสูงสุด เรียกว่า Pandemic (การระบาดใหญ่/ทั่วโลก) อ่านว่า แพนเดม’มิค เป็นลักษณะของการระบาดของโรคที่แพร่กระจายไปทั่วโลก เช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2461 (Spanish flu) หรือการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และล่าสุดคือการระบาดของ COVID-19 ในอย่างน้อย 122 ประเทศทั่วโลก

คำประกาศของ WHO ที่ว่า COVID-19 เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลก จึงไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับการเปลี่ยนแปลงลักษณะของโรค แต่เป็นการยกระดับสถานะคำเตือนและความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ คำประกาศการระบาดใหญ่มักใช้กับโรคโรคใหม่ที่ผู้คนยังไม่มีภูมิคุ้มกันและแพร่กระจายไปทั่วโลกเกินการควบคุมและเกินความคาดหมาย

โดย WHO แบ่งนิยามเป็นสามเงื่อนไขคือ

  • โรคใหม่ที่เกิดในหมู่ประชากร
  • ติดเชื้อในร่างกายมนุษย์ และส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยจนถึงชีวิต
  • เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และส่งผลกระจายเป็นวงกว้างหลายชุมชนในประเทศ หรือทั่วโลก

ส่วนอีกคำจำกัดความที่ปรากฏในตำรา “ระบาดวิทยา 101” ระบุว่า Pandemic หรือการระบาดใหญ่ทั่วโลกนั้นเป็น “การระบาดของโรคที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรือในพื้นที่เป็นวงกว้างอย่างยิ่ง ข้ามเขตแดนระหว่างประเทศ และมักส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก” คำดังกล่าวมักใช้กับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และ “การระบาดใหญ่ทั่วโลกของโรคไข้หวัดใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมาและแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกัน” ภาวะการระบาดใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและควบคุมไม่ได้ การระบาดในระดับนี้จะแพร่กระจายไปทั่วทุกทวีป และไม่สามารถคาดการณ์หรือควบคุมการระบาดของโรคได้ ทั้งโลกต้องเตรียมการรับมือให้ดี ซึ่งก็คือ สถานการณ์ปัจจุบันของ COVID-19 นั่นเอง และโรคอื่น ๆ ที่จัดอยู่ในระดับนี้ เช่น ไข้หวัดใหญ่ H1N1 และโรคเอดส์

แต่อย่างไรก็ดี หลังจากการแพร่ระบาดถึงขั้นสุงสุดของการระบาดแล้ว โรคระบาดเหล่านี้ ก็อาจกลายเป็นโรคประจำถิ่น หรือโรคระบาดตามฤดูกาลของทุกประเทศก็ได้ ซึ่งปัจจัยสำคัญสองอย่างที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายเป็นวงกว้างคือ ความสามารถในการติดต่อจากผู้ป่วยคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง และการเดินทางของคน โดยเฉพาะเครื่องบิน เพราะสามารถนำโรคติดเชื้อไปยังพื้นที่ใหม่บนโลกภายในระดับชั่วโมง ส่วนการสิ้นสุดการระบาดใหญ่ของบางโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้กลายเป็น “โรคประจำถิ่น” หรือไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลของทุกประเทศทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนั่นเอง 

ระลอก 2 หรือ Second Wave ของ COVID-19 ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็จริง แต่ระหว่างนี้ การปฏิบัติตัวตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุขในเรื่อง ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อย ๆ กินร้อน ช้อนตัวเอง ยังคงเป็นวิถีปฏิบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งค่ะ 

อ้างอิง

ดาวน์โหลดเพื่ออ่านรูปแบบ PDF
เนื้อหาภายในฉบับที่ 38