อ.ดร.พญ.ชุติมา โตพิพัฒน์
นับจากสมัยที่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์กำแหง จาตุรจินดา ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชา สูติศาสตร์–นรีเวชวิทยา ได้มีแนวคิดริเริ่มให้จัดแบ่งการทำงานภายในภาควิชาฯใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับนานาประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้อาจารย์แต่ละท่านที่มีความสนใจในความก้าวหน้าของวิทยาการที่แตกต่างกัน สามารถติดตามและสร้างสรรค์งานวิจัยในเชิงลึก อีกทั้งยังจะสามารถผลักดันให้มีการส่งผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติได้มากขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับให้ภาควิชามีความทันสมัยทั้งในด้านการศึกษา การวิจัย ตลอดจนการให้บริการที่ดี ทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศ อันจะส่งผลให้เกิดองค์ความรู้ใหม่เฉพาะด้านในแนวดิ่งมากยิ่งขึ้น นับจากนั้นเป็นต้นมาภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ในโรงเรียนแพทย์หลายๆสถาบันก็ได้มีการจัดงานโดยใช้แบบอย่างการแบ่งงานของภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีกลายเป็นต้นแบบที่ใช้สืบต่อกันมา ซึ่งรูปแบบงานที่มีจำแนกตามความสนใจนี้ กลับกลายเป็นรากฐานให้เกิดการพัฒนาการเรียนการสอน การวิจัยในระดับต่อยอดของแต่ละสาขาวิชาดังที่เห็นในปัจจุบัน
ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์มีความรุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดดทั้งในแนวลึกและในวงกว้าง ในสาขาวิชาจึงได้แบ่งแยกเป็นคลินิกเฉพาะทางอีกหลายคลินิก ได้แก่ คลินิกเอนโดครีนนรีเวช คลินิกส่องกล้องทางนรีเวช คลินิกวัยหมดประจำเดือน และศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เป็นต้น ซึ่งงานเชิงลึกดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพการพัฒนาตลอดจนสนับสนุนการเรียนการสอนในระดับแพทย์ประจำบ้าน และแพทย์ประจำบ้านต่อยอดอีกด้วย
จากความรู้และความก้าวหน้าในเชิงวิชาการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ที่มีการพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทางสาขาวิชาฯจึงมุ่งพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนงานวิจัยให้มีความทันสมัยอันจะส่งผู้ให้ผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรม ได้รับความรู้ที่ทันสมัย ตลอดจนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อพัฒนาตนเองต่อไปภายหลังผ่านการฝึกอบรม
ในอนาคตสาขาวิชาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ จะดำเนินการพัฒนาอย่างมุ่งเป้า ทั้งในด้านการเรียนการสอนแพทย์ประจำบ้านต่อยอด และการวิจัยเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ตลอดจนสนับสนุนการวิจัยพัฒนาในระดับโมเลกุล และการเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยาของผู้ป่วยนรีเวชเพื่อให้เกิดการวางแผนการรักษาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาควิชาเพื่อให้เกิดความรู้และการให้บริการผู้ป่วยในองค์รวมเพิ่มมากขึ้นในอนาคต