นิตยสารทุกฉบับ
รวมนิตยสาร
บทความประจำ
เลือกดูบทความจากทุกเล่ม
ค้นหาบทความ
ค้นหาจากหัวข้อ

“เมื่อกำลังใจจากเด็กน้อยเป็นแรงบันดาลใจให้หมอได้ก้าวเดิน”

Volume
ฉบับที่ 57 เดือนกรกฎาคม 2568
Column
ThinkPlus
Writer Name
รศ. พญ.โสมรัชช์ วิไลยุค ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

    มีคนบอกว่าการเป็น “หมอ” คือการ “ให้” เนื่องจากเราต้องดูแลคนไข้ ช่วยเหลือเขาให้พ้นทุกข์จากความเจ็บป่วยโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่ในอีกมุมหนึ่งการดูแลคนไข้ ไม่ใช่การ “ให้” อย่างเดียว แต่เรา “ได้รับ” หลายสิ่งหลายอย่างที่ประเมินค่ามิได้กลับมาด้วย ... ฉันได้รับความรู้สึกดีดีจากคนไข้ของฉันอยู่เสมอ ในฐานะที่เป็นหมอเด็ก ฉันได้รับรู้เรื่องราวและการเติบโตของพวกเขาอยู่เป็นประจำ เวลาเขาหายหรืออาการดีขึ้น ฉันรู้สึก “อิ่มเอิบใจ” ความรู้สึกนี้มันเป็น “ความสุข” ที่หาซื้อไม่ได้จากที่ไหน แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากคนไข้ คือ “แรงบันดาลใจ” แต่วันหนึ่งฉันกลับได้รับสิ่งนี้มา ... 

    เมื่อหวนนึกย้อนไปเมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว ก่อนที่ฉันจะไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศ มีเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่ทำให้ฉันประทับใจไม่ลืมเลือน นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ทำให้ฉันอด “อมยิ้ม” ไม่ได้ทุกทีไป ... คนไข้รายนี้เป็นเด็กชายอายุราว ๆ 7-8 ขวบ ที่มีชื่อเล่นว่า “อาร์ต” เขาเป็นโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดที่มีไข้สูงและมีข้ออักเสบอยู่ราว ๆ สิบกว่าข้อ สมัยก่อนไม่ได้มียาดีดี เหมือนในยุคปัจจุบันทำให้การควบคุมการอักเสบของข้อทำได้ยาก ส่งผลให้ข้อเขาติดและผิดรูปอย่างมาก 

    ท่านผู้อ่านลองจินตนาการหากท่านไปเตะถูกอะไรแล้วเกิดข้ออักเสบขึ้น แม้เพียงข้อเดียวเราก็เจ็บมากแล้ว นี่เขาเป็นมากกว่าสิบข้อน้องเขาจะเจ็บขนาดไหน ฉันจำได้ว่าบ้านของอาร์ต อยู่แถบชานเมือง หากจะนั่งรถมาหาหมอ ต้องต่อรถถึงสามต่อ ใช้เวลาหลายชั่วโมง ข้อที่อักเสบส่งผลให้เขาเดินกะเผลกและเจ็บทุกครั้งที่เดิน อาร์ตจะมาหาหมอกับคุณย่า มานั่งรอหมอเพื่อตรวจอีกหลายชั่วโมง เสร็จแล้วก็ต้องนั่งรถอีกหลายต่อเพื่อกลับบ้าน 

    แต่เขาจะมาพร้อมกับ “รอยยิ้ม” เสมอ ไม่เคยหงุดหงิด หรือบ่นเลย เขานั่งรออย่างใจเย็น พร้อมกับยิ้มเป็นกำลังใจให้พวกเราอีก ... ตอนฉันได้เจอเขาครั้งแรกฉันยังไม่ได้ไปศึกษาเฉพาะทางด้านโรคข้อและรูมาติสซั่ม ทำให้รู้สึกว่าฉันยังช่วยเหลือเขาได้ไม่ดีพอ ในเวลานั้นสิ่งที่ฉันทำได้คือไปปรึกษาอาจารย์โรคข้อฯ ที่ดูแลคนไข้ผู้ใหญ่ อาจารย์ใจดีและมีเมตตากับฉันมาก อาจารย์ให้คำแนะนำทุกอย่าง แต่เนื่องจากอาจารย์เป็นหมอที่ดูแลผู้ใหญ่ จึงมีข้อจำกัดในบางเรื่องเนื่องจากโรคข้ออักเสบในเด็กกับผู้ใหญ่มีความแตกต่างกันอยู่หลายจุด 

    เมื่อถึงวันนึง วันที่ความรู้สึกที่ว่า “ฉันยังช่วยคนไข้ได้ไม่ดีพอ” ค่อย ๆ สะสม จนกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ฉันตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปศึกษาต่อเฉพาะทางในสาขาโรคข้อและรูมาติสซั่ม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีสถาบันไหนเปิดให้เรียนได้ในประเทศไทย จึงต้องไปเรียนที่ต่างประเทศเท่านั้น ... การไปเรียนต่างประเทศในขณะนั้นยากพอควร ฉันพบกับอุปสรรคนานัปการ รู้เลยว่าคนที่ไปเรียนต้องมีความอดทนและความพยายามอย่างมากที่จะเอาชนะปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ฉันผู้ซึ่งไม่มีทุนไปศึกษาต่อ เริ่มทำงานเก็บเงินเพื่อจะไปเรียนต่อต่างประเทศ จำได้ว่าช่วงนั้นอยู่เวรเกือบทุกวัน จนร่างกายเริ่มไม่ไหว แต่ก็ยังมีเงินไม่พอเพียงกับที่จะไปเรียนต่อ ไหนจะต้องสอบ USMLE ซึ่งเป็นการสอบเพื่อเอาใบอนุญาตให้สามารถตรวจคนไข้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ในขณะที่ไปเรียน เป็นค่าสอบที่มีราคาสูงมาก ซึ่งในขณะนั้นต้องบินไปสอบที่ต่างประเทศร่วมด้วย ประกอบกับต้องหาเวลาอ่านหนังสือในการเตรียมตัวสอบ ... จะเห็นว่าถ้าไม่ใช้ความพยายามถึงขีดสุด คงไม่ได้ไปเรียนต่อเป็นแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ฉันมีแรงฮึดสู้ได้ขนาดนี้เพราะ “คนไข้” ตัวน้อย ๆ ของฉัน เขาเป็นหนึ่งในอีกหลายคนที่ทำให้ฉันมีแรงฝ่าฟันเพื่อให้ได้ไปเรียนต่อ 

    ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อฉันสมัครขอทุนและได้รับทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศจากองค์กรอิสระ (American Association of University Women) และสามารถเข้าเรียนในหลักสูตรที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จพร้อมได้รับเงินเดือน 

    ฉันเคยเล่าให้อาจารย์ที่สัมภาษณ์ฉันฟังว่า เหตุผลที่ฉันต้องมาเรียนเพราะในประเทศไทยยังไม่มีหมอด้านนี้ เรามีเด็กที่ป่วยด้วยโรคในกลุ่มนี้อีกมาก ซึ่งโรคกลุ่มนี้เป็นโรคที่วินิจฉัยและรักษายาก ทำให้เด็กมีภาวะทุพพลภาพและเสียชีวิต และพวกเขารอฉันอยู่ ดังคำพูดที่พวกเขาได้บอกกับฉันว่า 

        “หมอไปเถอะครับ/ค่ะ แล้วพวกเราจะรอหมอกลับมารักษาพวกเรานะ” แค่ประโยคสั้น ๆ ไม่กี่คำ แต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับฉัน ฉันจำประโยคนี้ได้ติดตรึงใจ ฉันบอกอาจารย์ว่าฉันมาจากประเทศเล็ก ๆ อาจารย์อาจจะคิดว่าไม่ได้สำคัญอะไรที่จะช่วยเหลือฉัน แต่สิ่งที่อาจารย์ตอบกลับมาคือ “ใครว่า ผมอาจจะอยากช่วยเหลือโลกก็ได้นะ” หลังจากนั้นอาจารย์ก็รับฉันเข้าเรียนต่อ ... ถึงแม้ในระหว่างทางที่เรียนชีวิตฉันไม่ได้เรียบง่ายหรือปูด้วยกลีบกุหลาบ ตรงข้ามกลับมีอุปสรรคขวากหนามตลอดทาง แต่สิ่งหนี่งที่ไม่เคยหายไปไหนเลย คือ คำพูดที่ว่า “พวกเราจะรอหมอกลับมารักษาพวกเรานะ” จากที่เคย “ท้อ” จนอยากกลับบ้าน กลับมาสู้ใหม่เพราะหัวใจที่ไม่ “ยอมแพ้” ในที่สุดฉันก็เรียบจนจบ ...  

    เรากลับมาเจอกันอีกครั้งที่โรงพยาบาลรามาธิบดี คราวนี้เรามีคลินิกโรคข้อเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อาร์ตโตขึ้นมาก แต่รอยยิ้มของเขายังเหมือนเดิม เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ แม้ข้อจะผิดรูปแต่เขาวาดรูปได้งดงามมาก เขานำผลงานมาให้ฉันอยู่เสมอ ๆ ของขวัญเล็ก ๆ แต่ความหมายนั้นยิ่งใหญ่ เปรียบเหมือน “คำขอบคุณ” ที่สามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ 

    สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันได้เห็นถึงพัฒนาการและการเติบโตของเขามาโดยตลอด ฉันรู้เลยว่าถ้าวันนั้นฉันไม่ได้มีโอกาสรักษาพวกเขา ฉันคงไม่ได้แรงบันดาลใจดีดีเหล่านี้ ที่ผลักดันให้ฉันไปเรียนในศาสตร์ที่ยาก คนเรียนน้อย ในประเทศที่ไกลโพ้นแบบนั้น และวันที่ฉันกลับมา ฉันรู้สึกว่าฉัน “ได้รับ” ของขวัญที่ล้ำค่าจากคนไข้มากกว่าที่ “ให้” เขากลับไปเสียอีก เพราะสิ่งที่ฉันไปเรียนมานั้นในสิบปีให้หลัง วิชานี้ได้ช่วยคนไข้ไว้ได้เป็นจำนวนมาก ... หนึ่งในนั้นคืออาร์ต ถึงแม้ข้อจะผิดรูปไปแล้ว แต่อย่างน้อยการดูแลรักษาที่ฉันได้เรียนมาทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น 

    เป็นเรื่องที่แปลกมากแต่เกิดขึ้นกับฉันหลายต่อหลายครั้ง ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า เวลาเราได้ช่วยเหลือใคร วันหนึ่งความดีนั้นจะกลับมาหาเรา ครั้งนี้อาร์ตได้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ฉันได้ไปเรียนต่อจนสำเร็จ คราวนี้ถึงตาฉันช่วยเหลืออาร์ตบ้างแล้ว ... เนื่องจากโรคที่เขาเป็น น้อยคนนักที่จะรู้จักโรคนี้ ครูใหญ่ที่โรงเรียนของอาร์ตก็เช่นกัน ท่านไม่รู้จักและกังวลว่าหากเขามาเรียนหนังสือที่โรงเรียน อาจจะเกิดอันตราย จึงบอกให้อาร์ตเลิกเรียน ... ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันตกใจมาก เพราะโรคนี้ไม่มีผลกระทบอะไรกับสมองเลย และไม่ได้อันตรายถึงกับต้องทำให้เด็กคนหนึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ ฉันจึงไปพบครูใหญ่ที่โรงเรียน ไปอธิบายให้ท่านเข้าใจเกี่ยวกับโรค ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจรับอาร์ตกลับเข้าไปเรียน ต่อมาอาร์ตได้รับทุนจนสามารถเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษา ฉันรักษาจนเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อมาเขาได้ย้ายไปรักษากับหมอผู้ใหญ่เราจึงไม่ได้เจอกันอีก แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาอาร์ตได้ส่งข้อความและรูปภาพ มาบอกฉันว่า เขาเรียนจบ “ปริญญาตรี” แล้ว ในรูปนั้นใบหน้าเขาเปื้อนไปด้วย “รอยยิ้ม” รอยยิ้มแบบเดิมตั้งแต่เด็กจนโต รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ของคนคิดบวก เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึก “อิ่มเอิบ” ใจ ...

    ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าหมอไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ให้” แค่เพียงอย่างเดียว แต่คือ “ผู้รับ” ที่ได้รับของขวัญจากคนไข้ในรูปแบบที่ลึกซึ้งและงดงามที่สุด สิ่งดีดีเหล่านั้น มีคุณค่าที่ไม่สามารถแปลงออกมาเป็นเงินทองได้ นั่นคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่ทำให้เรายังคงตรากตรำทำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในขณะเดียวกันสิ่งเล็ก ๆ ที่เรา “ให้” กลับไป อาจเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนไปตลอดกาล สิ่งที่เราทำอาจเป็นสิ่งเล็ก ๆ ในความคิดเรา แต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา ... จงทำดีกับทุกคนและเมื่อเรายื่นมือ “ให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สิ่งที่จะ “ได้รับ” กลับมา คือ “ความสุข” ที่มิอาจประเมินค่าได้ ...

    เมื่อเราทำบางสิ่งให้ “ใครสักคน” ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เรามักจะ “ได้รับ” สิ่งล้ำค่ากลับคืนมา ... โดยไม่รู้ตัว