นิตยสารทุกฉบับ
รวมนิตยสาร
บทความประจำ
เลือกดูบทความจากทุกเล่ม
ค้นหาบทความ
ค้นหาจากหัวข้อ

ห้วงเวลาของชีวิต

Volume
ฉบับที่ 57 เดือนกรกฎาคม 2568
Column
Behind the Scene
Writer Name
ทิพย์ธัญญา วรรณา หน่วยพยาบาลบริการผู้ป่วยที่บ้าน 1 งานการพยาบาลสนับสนุนการรักษา ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี

    ความหมายของ “ชีวิต” แท้จริงคืออะไร .... คำถามที่ดูเหมือนง่าย แต่ใครหลายคนก็ยังหาคำตอบไม่เจอ ฉันเองก็เป็นหนึ่งคนนั้นที่พยายามค้นหาคำตอบอยู่เช่นเดียวกัน แต่สุดท้ายก็พบเพียงความว่างเปล่าท่ามกลางความเงียบงัน และแล้ววันเวลาแห่งโชคชะตาได้นำพาให้ฉันค้นพบความหมายของชีวิต ฉันพึ่งเข้าใจประโยคที่ว่าชีวิตคนเราเกิดมานั้นไม่มีอะไรแน่นอน ทุกชีวิตต่างวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารของการ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ที่มนุษย์ทุกคนล้วนต้องประสบพบเจอ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความจริงเหล่านี้ได้ ... 

“มีเพียงลมหายใจอันแผ่วเบา ที่จะคอยย้ำเตือนให้เราเห็นคุณค่าของเวลาทุกวินาทีบนโลกใบนี้” 

    เช้าวันใหม่ที่ไม่ได้สดใสเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ฉันตื่นนอนขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะข้างซ้ายมาก ปวดที่ตำแหน่งท้ายทอยร้าวไปถึงกระบอกตา เอ๊ะ?? หรือว่าเราจะเป็นไมเกรนนะ อ๋อ ... นี่หรือคืออาการไมเกรนที่คนเขาบอกว่าจะปวดทรมานมาก ฉันไม่เคยมีอาการปวดศีรษะแบบนี้มาก่อนเลย จึงไม่รู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของภัยเงียบที่กำลังคืบคลานเข้ามาคุกคามชีวิต เมื่อฉันมาถึงที่ทำงานอาการปวดศีรษะก็ยังไม่ดีขึ้น ฉันจึงทานยาพาราเซตามอลแก้ปวด เพราะคิดว่าน่าจะเกิดจากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ดูเหมือนว่ายาแก้ปวดจะช่วยทุเลาอาการลงได้แค่ชั่วคราว แต่แล้วขณะที่ฉันกำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวัน อยู่ ๆ เหมือนมีของแข็งมาทุบเข้าที่ท้ายทอย ฉันปวดศีรษะข้างซ้ายมากที่สุดในชีวิต ปวดจนลืมตาข้างซ้ายไม่ขึ้น พี่ ๆ ที่ทำงานรีบพากันเข้ามาดูอาการ หายาแก้ปวดให้รับประทาน พาไปนอนพักในห้องพักเจ้าหน้าที่ แต่อาการปวดก็ยังไม่ดีขึ้น พี่ ๆ จึงรีบประสานนำส่งฉันไปตรวจที่หน่วยตรวจสุขภาพบุคลากร 

    สัญญาณชีพของฉันยังปกติดี แต่การตรวจร่างกายเหมือนจะพบสัญญาณความผิดปกติบางอย่าง อาจารย์แพทย์ที่ตรวจแจ้งว่าสังเกตเห็นตาสองข้าง กระพริบลงไม่เท่ากัน จึงได้ส่งปรึกษาไปนัดตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ระบบประสาท อาจารย์แพทย์ทางระบบประสาท ซักประวัติโรคประจำตัวเดิม ฉันแจ้งว่าเป็นภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ที่มี chocolate cyst แพทย์ทางนรีเวชให้รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดหนึ่งเพื่อรักษาภาวะนี้ ฉันพึ่งจะเริ่มทานยาตัวนี้ได้เพียง 1 เดือนครึ่งเท่านั้น อาจารย์แพทย์ระบบประสาทแจ้งกับฉันว่า สงสัย “ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง” จึงแจ้งให้ฉันหยุดทานยาคุมกำเนิดทันที และส่งนัดตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) แต่ด้วยความเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีผู้ป่วยมารับบริการตรวจจำนวนมาก ฉันได้คิวนัดตรวจเร็วสุด คือ 3 เดือน .....

    หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันได้รับข้อความจากแม่ทางไลน์ แจ้งกับฉันว่าน้องชายมีอาการทานอาหารไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียนตลอด ขา 2 ข้างบวมมากขึ้น เป็นมา 3-4 วันแล้ว ก่อนอื่นขอเล่าเท้าความสักเล็กน้อย ฉันมีน้องชายคนเดียวที่เป็นเด็กพิเศษตั้งแต่กำเนิด โดยมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา (Mental Retardation) น้องชายของฉันพึ่งได้รับการวินิจฉัยเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2566 ที่ผ่านมาว่าเป็นโรคไตเนโฟรติก (Nephrotic syndrome) จึงทำให้ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาการของน้องค่อนข้างจะทรุดลง ป้าของฉันที่เป็นพยาบาลได้ไปปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ที่รักษาน้อง แพทย์แจ้งว่าจากอาการเบื้องต้นน่าจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จึงแนะนำให้พาน้องมาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอกโรคไตในวันศุกร์นี้ หลังจากคุยกับแม่เรียบร้อยก็มีสายเรียกเข้าโทรมาแจ้งกับฉันว่า ในเที่ยงวันศุกร์นี้มีผู้ป่วยเลื่อนนัดตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ให้ฉันไปรอตรวจแทนในเวลา 12.00 น. 

    เช้าวันศุกร์ น้องชายเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลจังหวัด แต่แล้วก็มีเหตุบังเอิญเนื่องจากแพทย์ติดภารกิจกะทันหัน จึงแจ้งให้น้องมาตรวจอีกครั้งในวันจันทร์ถัดไป ซึ่งตอนแรกฉันวางแผนจะเดินทางกลับบ้านในเช้าวันเสาร์เพื่อไปเฝ้าน้องที่โรงพยาบาลหากได้เข้าแอดมิท แต่ก็ไม่เป็นไร ... เมื่อมีเหตุจำเป็นที่ต้องเลื่อนนัด ครอบครัวของเราก็เข้าใจได้ ต่อมาเมื่อถึงเวลา 12.00 น. ฉันจึงเดินไปตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ตามนัด หลังตรวจเสร็จฉันเดินกลับมาทานอาหารกลางวันที่หน่วยงาน ขณะนั้นก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามา ทันทีที่กดรับเสียงปลายสายเป็นแพทย์เอกซเรย์โทรมาเพื่อแจ้งว่าผลการตรวจพบความผิดปกติ มีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมองข้างซ้ายหลายตำแหน่ง แพทย์แจ้งให้ฉันไปที่แผนกฉุกเฉินเลยในทันที 

    หลังจากวางสายโทรศัพท์ในสมองของฉันตอนนี้เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่นและสับสน ฉันกำลังเป็นผู้ป่วยหลอดเลือดสมองจริง ๆ ใช่ไหม ? ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วราวกับแผ่นดินไหว ไม่มีเวลาให้ได้ตั้งตัวเพื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า บางสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดทำให้รู้ว่าชีวิตนั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน ฉันพยายามตั้งสติและเดินเข้าไปที่แผนกฉุกเฉิน ไม่นานเท่าไหร่นักทีมแพทย์ก็เข้ามาซักประวัติ ตรวจร่างกาย และแจ้งว่าต้องแอดมิทเพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดที่หอผู้ป่วยโรคหลอดสมองทันที

    เมื่อชีวิตต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการบอกความจริงหรือว่าจะปิดบัง ... หลังจากถึงหอผู้ป่วยได้ไม่นาน ฉันครุ่นคิดกับตัวเองครู่หนึ่ง ไม่รู้จะต้องโทรไปบอกแม่อย่างไรดีว่า วันพรุ่งนี้จะไม่ได้เดินทางกลับไปบ้านแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคลื่นความคิดจะส่งกระแสจิตไปถึงแม่ราวกับบทละครที่ถูกเขียนเอาไว้ ทันใดนั้นเอง ... โทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นเป็นสายเรียกเข้าจากแม่ หัวใจของฉันเต้นรัวด้วยความกังวลกลัวว่าแม่จะรับรู้อาการป่วย มันหนักเกินไปสำหรับแม่ที่ต้องรับรู้ในตอนนี้ ลูกสองคนกำลังป่วยหนักในช่วงเวลาเดียวกัน จิตใจของคนเป็นแม่ต้องบอบช้ำจากความทุกข์มากเพียงใด ฉันจำเป็นต้องรักษาจิตใจของแม่เอาไว้ ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือต้องปิดบังความจริง ... 

        ฉันตัดสินใจกดรับสาย แม่พูดขึ้นมาประโยคแรกว่า “แม่รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้หวัด ถ้าวันพรุ่งนี้หนูจะเดินทางมาจากกรุงเทพ ฝากซื้อยาจากร้านขายยามาให้แม่หน่อยนะ ยาเดิมที่บ้านหมดแล้ว” ประโยคแรกก็ทำให้ฉันน้ำตาร่วงเสียแล้ว แต่ต้องพยายามข่มทุกอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ ฉันตอบแม่ไปว่า “วันพรุ่งนี้หนูไม่ได้กลับบ้านแล้วนะ พอดีป้าโทรมาบอกว่ายังไม่ต้องรีบกลับมา รอน้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลวันจันทร์ก่อน เผื่อว่าน้องไม่ได้แอดมิทจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางไปกลับกรุงเทพ” แต่ดูเหมือนว่าแม่จะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างผ่านน้ำเสียงของฉัน แม่ถามฉันว่า “หนูไม่สบายหรือเปล่า ทำไมเสียงเหมือนมีน้ำมูก” ฉันต้องโกหกแม่ต่อไปว่า “อ๋อ ... พอดีอากาศเปลี่ยนแปลง ฝนตกบ่อย น่าจะเป็นหวัดเฉย ๆ แหละแม่” ด้วยความเป็นห่วงลูก แม่บอกกับฉัน “กินยา นอนพักผ่อนให้พอ ไม่ต้องเดินทางกลับบ้านแล้ว แม่เป็นห่วงกลัวเดินทางไกลจะป่วยหนักมากกว่าเดิม  ถ้าวันจันทร์น้องได้แอดมิทเดี๋ยวแม่กับพ่อจะสลับกันไปเฝ้าน้องเอง ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ” 

    บทสนทนาจบลงด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย เมื่อความเจ็บป่วยของร่างกายเป็นกำแพงสูงที่ขวางกั้นการเดินทางกลับไปดูแลคนที่เรารัก ชีวิตเหมือนถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย ลิ่มเลือดที่อุดตันอยู่ในหลอดเลือดสมองของฉันตอนนี้ ราวกับเป็นระเบิดเวลาที่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะทำงานขึ้นมาเมื่อไหร่ หากมันระเบิดขึ้นมาฉันแทบไม่มีโอกาสได้กล่าวลาครอบครัวอย่างแน่นอน ฉันต้องบอกอาการป่วยตอนนี้ให้ใครสักคนในครอบครัวรับรู้ ซึ่งคนที่ฉันมั่นใจว่าจะตัดสินใจแทนได้ทุกอย่าง คือ คุณป้าที่เป็นพยาบาล ป้าเป็นเหมือนแม่คนที่สองของฉัน ฉันรู้ว่าท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จะสามารถรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้ ฉันจึงตัดสินใจโทรไปเล่าอาการป่วยให้ท่านฟัง ไม่ผิดคาดนักเพราะป้าเข้าใจสถานการณ์ของโรคที่เกิดขึ้นกับฉันได้ ฉันแจ้งกับป้าไว้หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับฉัน ให้ท่านเป็นคนตัดสินใจหลักในการรักษา เพราะฉันเชื่อมั่นว่าท่านจะตัดสินใจอย่างดีที่สุดให้กับฉัน 

    จากชีวิตพยาบาลที่ดูแลกลุ่มผู้ป่วยโรคทางระบบประสาทมาหลายปี สู่วันที่ฉันต้องกลายมาเป็นผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาฉันต้องเริ่มฉีดยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Enoxaparin) ในทันที ฉันได้เข้าใจผู้ป่วยแล้วว่าขณะที่ฉีดยาตัวนี้มันเจ็บปวดระบมมากเพียงใด แต่ในความเจ็บปวดนี้ก็ซ่อนสิ่งดีเอาไว้ให้ฉันได้เรียนรู้ว่า การฉีดยาอย่างไรให้เจ็บปวดน้อยที่สุด เพราะเมื่อถึงเวลาที่ฉันได้กลับไปทำงาน ฉันจะได้นำการเรียนรู้ด้วยตนเองครั้งนี้ไปสอนต่อให้ญาติและผู้ป่วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

    5 วัน 4 คืน ผ่านไปไวเหมือนดั่งความฝัน ฉันไม่รับรู้แสงเดือนแสงตะวัน มีเพียงนาฬิกาคอยบอกเวลา ปฏิทินคอยย้ำเตือนวันเดือนปี ฉันนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางบนร่างกายเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจไว้ตลอด 24 ชั่วโมง ความเงียบงันอันแสนเยือกเย็น ที่รายล้อมรอบกายทำให้ภายในจิตใจของฉันกลับมาสงบลงอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันในครั้งนี้ นับเป็นการเจ็บป่วยครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิต แม้ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายเพียงใดแต่เมื่อมองไปดูผู้ป่วยอีกหลายคน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าความโชคร้ายของตนเองนั้นยังเทียบเท่ากับผู้ป่วยอีกหลายคนไม่ได้เลย บางคนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้บอกลาคนที่เขารัก บางคนต้องหลับใหลอยู่ในนิทราไปตลอดชีวิต เมื่อวันนี้ร่างกายของฉันยังทำงานได้ตามปกติทุกอย่าง มันทำให้ฉันเห็นความสำคัญของเวลาทุกวินาทีในชีวิต ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าอีกหนึ่งวินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉะนั้นความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของฉันตอนนี้ไม่ใช่เงินทองหรือการประสบความสำเร็จอะไรอีกแล้ว แต่กลับเป็นความปรารถนาที่จะได้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ได้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อได้ดูแลครอบครัวที่ฉันรัก ต่อให้ทำงานหาเงินทองได้มากมายสักเพียงใด ก็ไม่อาจซื้อสุขภาพร่างกายและเวลาให้หวนกลับคืนมาได้ ...

    ท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันบนความไม่ประมาท เพราะบางอย่างในชีวิตก็อยู่เหนือการควบคุมของตัวเรา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้าย สุขหรือทุกข์ ล้วนแล้วแต่หลีกเลี่ยงหนีไปไม่ได้ ฉะนั้นจงกล้าที่จะอ้าแขนเผชิญรับความทุกข์และโอบกอดความสุขที่ผ่านเข้ามา 

“ไม่มีสิ่งไหนที่จะคงอยู่กับเราตลอดไป แม้แต่ลมหายใจของเราเอง”
 

ดาวน์โหลดเพื่ออ่านรูปแบบ PDF