ฉันจรดปากกาลงบนกระดาษพร้อมเขียนคำนำหน้า ตามด้วยชื่อและนามสกุลของฉันอย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็นเอกสารทางการจึงต้องเขียนด้วยตัวบรรจง “พว. ................” ฉันหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเขียนเสร็จ ฉันมองชื่อของฉันอย่างพิจารณา (พว. ย่อมาจากพยาบาลวิชาชีพ ใช้แทนคำนำหน้าชื่อผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์) ทุก ๆ ครั้งที่ฉันเขียนตัวอักษรย่อ “พว.” หน้าชื่อของฉัน ฉันมักระลึกถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของพยาบาลผู้เป็นนางฟ้าชุดขาวอยู่เสมอ ฉันเงยหน้าขึ้นมองปฏิทินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพร้อมนึกในใจ “เดือนเมษายนที่จะถึงก็จะครบ 14 ปี แล้วสินะกับวิชาชีพพยาบาลอันทรงเกียรตินี้” เทปบันทึกภาพความทรงจำภายในใจฉันยังคงเก็บสะสมเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาอย่างไม่เคยหยุดพัก ทั้งเรื่องราวที่สุขใจ ประทับใจ สลับกับเรื่องเศร้าใจหรือแม้แต่ความท้อแท้ห่อเหี่ยวที่ถูกเก็บอยู่ภายในใจ “อะไรที่ทำให้ฉันยังอยู่ในวิชาชีพนางฟ้าชุดขาวได้นานขนาดนี้นะ” ฉันครุ่นคิด เพื่อนร่วมวิชาชีพหลายคนชอบพูดเสมอว่า ถ้ามีลูกจะไม่ให้ลูกเป็นพยาบาลเด็ดขาด เพราะพยาบาลมักจะมาคู่กับคำว่า “เหนื่อยล้า” “หมดแรง” “พักผ่อนไม่เพียงพอ” “สุขภาพแย่” “ค่าตอบแทนน้อย” “ไม่มีเวลาให้ครอบครัว” ฉันผู้ซึ่งอยู่ในวิชาชีพที่ถูกขนานนามว่าเป็นนางฟ้าชุดขาวมาทั้งชีวิต ถอนหายใจพร้อมพูดกับตัวเองในใจเบา ๆ “จริง ๆ แล้วคำพูดเหล่านั้นไม่เกินความเป็นจริงเลย”

ฉันเริ่มต้นชีวิตการเป็นพยาบาลที่หอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิดเป็นที่แรกตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ชีวิตการทำงานของฉันอยู่ภายใต้บรรยากาศที่สลับกันไปมาระหว่างความรู้สึกปลื้มปีติจากการที่ได้เห็นคนไข้ทารกตัวน้อย ๆ ที่เคยอยู่บนเส้นแบ่งความเป็นและความตาย หายจากอาการเจ็บป่วยและได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข กับอีกด้านหนึ่งที่เห็นหยาดน้ำตาจากความเศร้าโศกสูญเสียของผู้เป็นพ่อและแม่อย่างนับครั้งไม่ถ้วน ฉันคิดในใจ “ถ้าไม่เป็นฉันและเพื่อนร่วมวิชาชีพที่น่ารักอีกหลาย ๆ คน ใครจะยอมอดทนอยู่ในวิชาชีพได้นานขนาดนี้”
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ในเวรบ่ายวันหนึ่งของชีวิตการเป็นพยาบาลใกล้เข้าปีที่ 5 ฉันเดินออกมาจากหอพักเพื่อไปขึ้นเวรอย่างเช่นปกติทุกวัน แต่วันนั้นพิเศษตรงที่ว่า หากมีการรับผู้ป่วยใหม่ ฉันจะได้รับมอบหมายให้เป็นพยาบาลเจ้าของไข้ของทารกน้อยรายนั้น ในใจคิดแต่เพียงว่าขอให้ทารกน้อยตัวโตจ้ำม่ำและไม่มีอาการเจ็บป่วยร้ายแรงก็พอแล้ว ฉันพร้อมจะดูแลอย่างต่อเนื่องเต็มที่เท่ากำลังทั้งหมดที่ฉันมี ระหว่างช่วงเวลาส่งเวรที่ทุกคนกำลังส่งต่อสิ่งที่จะต้องดูแลคนไข้ตัวจิ๋วในหอผู้ป่วยให้ทีมพยาบาลเวรบ่ายรับทราบ ทันใดนั้น แพทย์ผู้ช่วยอาจารย์ที่กำลังวางสายโทรศัพท์ได้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมและกังวล พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่นว่า “ทุกคนคะ เตรียมรับเคส Ectopia Cordis นะคะ (ภาวะหัวใจอยู่นอกทรวงอก) ตอนนี้เด็กเกิดแล้ว อยู่ในห้องคลอดค่ะ”
หลังจากเสียงคุณหมอพูดจบ ทุกคนต่างหยุดภารกิจของตนเองในขณะนั้นและช่วยกันเตรียมอุปกรณ์สำหรับรับผู้ป่วยใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน ณ เวลานั้น “ใจของฉันผู้เป็นว่าที่พยาบาลเจ้าของไข้ทารกน้อยคนนี้สั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นและกดดัน” เนื่องจากโรคนี้เกิดขึ้นได้เพียงหนึ่งในห้าล้านคนเท่านั้น แม้แต่รุ่นพี่พยาบาลที่ประสบการณ์มากกว่าฉันเป็น 10 ปีและแพทย์ที่อยู่เวรขณะนั้น ยังไม่มีใครเคยเจอเคสลักษณะนี้มาก่อน ในประเทศไทยน่าจะมีเพียงไม่กี่ราย ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ “ภาระงานที่ยุ่งเหยิง ความเหนื่อยล้า หมดแรง กำลังจะมาเยี่ยมเยือนชีวิตฉันอีกแล้ว” ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครคาดเดาเส้นกราฟชีวิตของทารกน้อยผู้น่ารักคนนี้ได้เลย รอบ ๆ เตียงคงเต็มไปด้วยเครื่องมอนิเตอร์ เสียงร้องระงมของเครื่องมือนับสิบเครื่องและสายน้ำเกลือระโยงยางเต็มไปหมดตามสภาพที่เป็นปกติของหอผู้ป่วยวิกฤต
หลังจากความวุ่นวายของช่วงเวลารับผู้ป่วยใหม่สิ้นสุดลง ชายร่างใหญ่เปิดประตูและเดินเข้ามาในหอผู้ป่วยด้วยสีหน้าวิตกกังวลสุดขีด ฉันมั่นใจว่าต้องเป็นคุณพ่อของทารกน้อยแน่ ๆ ขณะนั้นข้างเตียงทารกน้อยรายล้อมไปด้วยแพทย์และพยาบาลที่กำลังให้การดูแลรักษาเบื้องต้นอยู่ เนื่องจากยังเข้าเยี่ยมทารกน้อยที่เตียงไม่ได้ ฉันจึงเชิญผู้เป็นพ่อเข้าห้องประชุมเล็กเพื่อรับฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแผนการรักษาจากคุณหมอ ฉันมองแววตาของผู้เป็นพ่อ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกสับสนในใจที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวของตน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า ฉันยังจำน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาคลอและความรู้สึกสับสนทำอะไรไม่ถูกของผู้เป็นพ่อได้เป็นอย่างดี “ลูกผมจะปลอดภัยใช่ไหมครับ” “ผมจะบอกเรื่องนี้กับภรรยายังไงดี” “ผมต้องทำยังไงครับคุณหมอ”
ผู้เป็นพ่อถามประโยคนี้ซ้ำ ๆ สลับกันไปมา

ณ เวลานั้น ฉันได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองทารกน้อยให้ปลอดภัยและกลับไปอยู่ในอ้อมอกของคุณพ่อคุณแม่ให้เร็วที่สุด เมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง ทีมแพทย์และพยาบาลต่างช่วยกันส่งกำลังใจให้คุณพ่อผ่านคำพูดและแววตาที่ห่วงใย รวมถึงฉันที่ตั้งปณิธานว่า “ไม่ว่าถนนข้างหน้าจะขรุขระหรือมืดสลัวแค่ไหน ครอบครัวของทารกน้อยจะไม่มีวันเดินอย่างโดดเดี่ยว ถึงแม้จะเป็นเคสหนึ่งในห้าล้าน ตราบใดที่หัวใจดวงน้อยยังเต้นอยู่ เราจะต่อสู้ไปด้วยกัน”
วันรุ่งขึ้น ผู้เป็นแม่มาเยี่ยมบุตรเป็นครั้งแรก โดยมีคุณพ่อคอยประคองอยู่ไม่ห่าง ฉันยืนรออยู่ที่ปลายเตียง พลางคาดเดาเหตุการณ์เมื่อคุณพ่อและคุณแม่เดินมาถึง “ใช่แล้ว...ฉันคิดไม่ผิด เสียงปล่อยโฮพร้อมน้ำตาไหลอาบใบหน้าที่ซีดเซียวหมดหวังของคุณแม่ ทำให้ฉันน้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัว” ฉันแนะนำตัวเองพร้อมเล่าอาการเบื้องต้นของวันนี้ให้ท่านทั้งสองฟัง ด้วยการพยากรณ์โรคที่ไม่ค่อยจะดีนัก ฉันได้แต่พูดให้กำลังใจพร้อมทั้งลูบแขนคุณแม่เบา ๆ “เราจะสู้ไปด้วยกันนะคะ” ก่อนคุณพ่อและคุณแม่กลับออกจากหอผู้ป่วย ฉันเหลือบไปเห็นหมวกเด็กทารกใบน้อยที่ใส่แล้ววางอยู่บนเตียง เป็นหมวกของทารกน้อยที่เพิ่งถูกถอดออก ฉันกำลังจะเปลี่ยนหมวกใบใหม่ให้พอดี ฉันจึงรีบยื่นให้คุณแม่ของทารกน้อยอย่างไม่รีรอ ณ เวลานั้นฉันคิดเพียงว่า “หมวกใบนี้น่าจะช่วยส่งกำลังใจและทำให้ทั้งสองท่านรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ ๆ ลูกน้อย ถึงแม้กายจะต้องห่างกัน” เนื่องจากเป็นหอผู้ป่วยวิกฤต ญาติจึงไม่สามารถมาเฝ้าทารกน้อยได้ตลอด

เวลาดำเนินไปเรื่อย ๆ ทุกวันที่ฉันขึ้นเวร ด้วยบทบาทของพยาบาลเจ้าของไข้ ฉันจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลทารกน้อยรายนี้ทุกครั้งที่มาทำงาน เนื่องจากอาการอยู่ในระยะวิกฤต ทำให้ทุก ๆ เวรมีแต่ความยุ่งเหยิง “ฉันรู้สึกทั้งเหนื่อย นอนน้อย บางวัน 3 มื้ออาหารถูกรวบเหลือมื้อเย็นเพียงมื้อเดียวเท่านั้น” แต่ฉันทำหน้าที่พยาบาลของฉันอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด ฉันจะคอยให้กำลังใจและเป็นที่ปรึกษาให้คุณพ่อคุณแม่ด้วยความเต็มใจเสมอ เสมือนญาติพี่น้องคนหนึ่งของครอบครัว เพื่อให้ทั้งสองท่านคลายความวิตกกังวลให้ได้มากที่สุด
ผ่านไป 1 เดือน ฉันเริ่มเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของคุณพ่อและคุณแม่วันละนิด แม้ว่าหัวใจดวงน้อยที่อยู่นอกทรวงอกจะถูกหุ้มด้วยอุปกรณ์ปิดแผลระบบสุญญากาศ (Vacuum Dressing) และยังคงเต้นเป็นจังหวะทักทายผู้คนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทารกน้อยยอดนักสู้คนนี้กลับแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับปาฏิหาริย์ อาการของเขาดีขึ้นทุกวัน ท่อช่วยหายใจและสายน้ำเกลือระโยงระยางถูกทยอยถอดออกจนหมดเหลือเพียงสายออกซิเจนเส้นเล็กที่จมูก จนมาถึงวันที่ทารกน้อยต้องย้ายไปอีกหอผู้ป่วยหนึ่งเนื่องจากอาการพ้นระยะวิกฤตแล้ว ฉันอาบน้ำและสระผมให้จนทารกน้อยตัวหอมฟุ้ง ผมบางนุ่มสลวยสีน้ำตาลเข้มเรียงเส้นกันอย่างเป็นระเบียบ วันนั้นฉันรู้สึกปลื้มปีติอย่างบอกไม่ถูก ทารกน้อยหน้ากลมแก้มป่องนอนตัวตรงลืมตาแป๋วและจ้องมาที่ฉันเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองใบหน้าอันไร้เดียงสาของเขา ฉันยิ้มและรู้สึกมีความสุขที่คนไข้ของฉันอาการดีขึ้น “อีกไม่นานคงได้กลับบ้านไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวแล้วสินะลูก” ฉันคิดในใจ
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ทารกน้อยคนนี้เติบโตขึ้นเฉกเช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ แต่ทว่ารูปร่างอาจจะดูเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันสักเล็กน้อยเนื่องจากภาวะโรคหัวใจ เขาเป็นเด็กอารมณ์ดี ฉลาด ทะเล้น พูดเก่ง ทุก ๆ วันสำคัญของปี เช่น วันเกิดของฉัน วันเกิดของเขาเอง วันแม่หรือวันปีใหม่ เด็กน้อยผู้น่ารักคนนี้จะถือของขวัญและการ์ดอวยพรมาให้ฉันที่หอผู้ป่วยอยู่เสมอ บางครั้งที่ไม่ได้มาหาฉันที่โรงพยาบาล คุณแม่จะอัดคลิปวิดีโอที่ลูกกล่าวคำอวยพรและส่งให้ฉัน ไม่เคยขาดแม้แต่ครั้งเดียว และทุก ๆ ครั้งเมื่อมีลูก ๆ ที่เคยรับการรักษาที่หอผู้ป่วยกลับมาเยี่ยมคุณแม่พยาบาลที่เคยดูแลพวกเขามา ฉันรู้สึกว่า “สิ่งนั้นเองคือรางวัลที่เปรียบเสมือนพลังที่พยาบาลได้รับในทุก ๆ วัน และหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากที่ทำงาน”


การเติบโตและรอยยิ้มของคนไข้ตัวน้อย
และครอบครัวของพวกเขาคือกำลังใจสำคัญ
ที่ทำให้พยาบาลอย่างเรามีเรี่ยวแรง
ที่จะปฏิบัติหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ต่อไป
วงเช้าวันหนึ่งหลังจากเสร็จงานประชุมวิชาการ ฉันออกมาจากห้องประชุมและเดินตรงไปยังหน่วยตรวจผู้ป่วยเด็กด้วยความตื่นเต้น วันนี้หนุ่มน้อยมีนัดตรวจกับคุณหมอ และคุณแม่นัดพบกับฉันที่นั่น เมื่อไปถึง ฉันยืนชะเง้อมองหาลูกชายตัวน้อยของฉันตรงประตูทางเข้าอยู่พักใหญ่ท่ามกลางเสียงร้องไห้งอแงดังระงมของผู้ป่วยเด็กที่มารอพบคุณหมอ
“แม่ฟ้า !” เสียงเล็กแหลมดังก้องเรียกฉันมาแต่ไกล ฉันหันไปทางต้นเสียง เด็กชายวัย 8 ขวบวิ่งปรี่เข้าหาฉัน เขายิ้มกว้างแก้มปริจนเห็นฟันครบทุกซี่ เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน เนื่องจากฉันเพิ่งกลับมาจากเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ ฉันรู้สึกประหลาดใจ ลูกชายของฉันตัวสูงขึ้นมาก และยังคงรักษารอยยิ้มแสนทะเล้นไว้ไม่เปลี่ยน ด้วยความคิดถึง ฉันสวมกอดเจ้าหนุ่มน้อยทันที พร้อมทั้งยื่นธงชาติสีเหลืองแดงจากประเทศสเปนให้เพราะหนุ่มน้อยมีความหลงไหลในธงชาติเป็นชีวิตจิตใจ หนุ่มน้อยยิ้มร่าอย่างดีใจพร้อมยกมือไหว้ “ขอบคุณครับแม่ฟ้า” เราผลัดกันหอมแก้มด้วยความชื่นใจ จากนั้นฉันผู้เป็นแม่พยาบาลและคุณแม่ตัวจริงยืนสนทนากันอยู่พักใหญ่หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน

ภาพแห่งความทรงจำในใจทยอยไล่เรียงออกมาจากเราสองคนเป็นระยะ จนย้อนกลับไปในวันที่หนุ่มน้อยลืมตาดูโลก ความทุกข์ใจแสนสาหัสที่ทั้งผู้เป็นพ่อและแม่ได้เผชิญถูกเปิดเผยออกมาอีกครั้ง “รู้มัยคะแม่ฟ้า วันนั้นพวกเราสับสนมาก ทำอะไรไม่ถูก กังวลจนนอนไม่หลับ หมวกใบนั้นที่แม่ฟ้ายื่นให้ พวกเราเอามาผลัดกันดมทุกคืนเลย คิดถึงลูก แต่กอดไม่ได้อุ้มไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะอยู่รอเราหรือเปล่า มีแค่หมวกใบนั้นใบเดียวที่เป็นตัวแทนของลูก” คุณแม่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาของเราสองคนไหลรินออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ฉันผู้เป็นคนยื่นหมวกใบนั้นเองก็เกือบจะลืมเหตุการณ์นี้ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ฉันไม่คิดเลยว่าการกระทำที่แสนธรรมดาของฉันในตอนนั้นจะมีความหมายกับพวกเขาได้มากขนาดนี้ “หมวกใบนั้นแม่เก็บไว้อย่างดีเลยนะคะ แม่จะเอาไว้ให้เขาดูตอนเขาโต เป็นความทรงจำค่ะ” คุณแม่เล่าต่อ เราสองคนกอดให้กำลังใจกันโดยมีหนุ่มน้อยยืนถือธงชาติโบกไปมาอยู่ข้าง ๆ และมองผู้ใหญ่คุยกันด้วยสีหน้าสงสัย ฉันก้มลงและส่งยิ้มให้เขาด้วยความรู้สึกปลื้มปีติและมีความสุขที่สุด
หลังจากแยกย้าย ขณะฉันเดินกลับไปที่ทำงาน ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปที่เราสามคนแม่และลูกถ่ายด้วยกันเมื่อสักครู่และเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว คำว่าพยาบาลวิชาชีพ “พว.” ผุดขึ้นในมาความคิดของฉัน ฉันหยิบบัตรพนักงานที่เป็นป้ายคล้องคอขึ้นมาและอ่านคำว่า “พยาบาล” ตัวหนังสือสีดำที่อยู่ด้านล่างรูปถ่ายและชื่อของฉันอย่างภาคภูมิใจ เสียงเรียกชื่อฉันขณะทำหน้าที่เป็นวิทยากรในห้องประชุมเมื่อเช้า “ขอเชิญทุกท่านพบกับพยาบาลวิชาชีพ......” ก้องอยู่ในหูของฉันและดังมากกว่าวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา ประโยคที่ฉันคุ้นเคยต่างหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของฉันทันที
“น้องน้ำหนักขึ้นแล้วนะคะแม่ฟ้า” “แม่ฟ้าวันนี้น้องไปโรงเรียนวันแรกแล้วนะคะ” “แม่ฟ้ามาทำงานมั้ยคะ เดี๋ยววันนี้จะพาน้องขึ้นไปเยี่ยมค่ะ” “ลูกแม่ฟ้าดื้อสุด ๆ เลยค่ะ” “สุขสันต์วันแม่ครับแม่ฟ้า” “ขอบคุณแม่ฟ้ามาก ๆ ค่ะ” “....รักแม่ฟ้า” “ขอให้แม่ฟ้ามีความสุขมาก ๆ นะคะ”
คำพูดเหล่านี้เป็นเสียงของคนไข้ที่ฉันดูแลและครอบครัวที่น่ารักของพวกเขาที่กล่าวทักทายฉันตลอดทั้งชีวิตการเป็นพยาบาลวิชาชีพของฉัน ถึงแม้ว่าปัจจุบันฉันไม่ได้ทำงานที่หอผู้ป่วยเดิมมาจะครึ่งปีแล้ว พรนับพันที่ฉันได้รับในทุก ๆ วันสำคัญยังคงส่งมาให้ฉันอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนตัวแทนของความรู้สึกขอบคุณจากครอบครัวที่ฉันได้ดูแลลูกอันเป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขาเป็นอย่างดีเสมอมา และ “ถือเป็นรางวัลที่มีคุณค่าที่ทำให้ฉันมีกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ต่อไป” ตลอด 14 ปีของชีวิตการเป็นพยาบาล ฉันรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกปลื้มปีติที่สุดที่ตัวอักษรย่อ “พว.” หรือ “พยาบาลวิชาชีพ” ที่นำหน้าชื่อและนามสกุลของฉัน “ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำนำหน้าชื่อผู้ที่อยู่ในตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของความดี ความเสียสละ การอุทิศตนทั้งกายและใจเพื่อทำคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด”