สวัสดีปีใหม่คุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ ปีนี้เป็นปีกระต่าย ขอให้คุณผู้อ่านทุกท่านมีชีวิตที่ดี มีสุขทางใจ สุขทางกาย หากมีอุปสรรคก็ขอให้ก้าวข้ามผ่านพ้นไปให้ได้ เหมือนกระต่ายที่ก้าวกระโดดไปข้างหน้านะคะ ..
เรามักจะทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในแต่ละปี มีทั้งสุขและทุกข์ ทั้งเรื่องที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ทั้งสุขภาพที่แข็งแรงและเจ็บป่วย และอีกหลาย ๆ เรื่อง .. ทำให้เราเห็นว่าในทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วผ่านไปนั้น เปรียบเหมือนคลื่นในทะเล ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ สลับกันไป ไม่มีใครสุขตลอดปี ดีตลอดไป ชีวิตย่อมมีสุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป เป็นเรื่องธรรมดา บ่อยครั้งที่บางคนนึกโอดครวญว่าทำไมเราถึงเจอแต่ปัญหา และเรื่องทุกข์ใจ ทำไมคนอื่นชีวิตถึงสบาย .. เพราะเราเริ่มที่จะเปรียบเทียบ และเอาไม้บรรทัดมาวัดตามเกณฑ์ของเราว่าชีวิตที่ดีหรือไม่ดีควรเป็นเช่นไร เมื่อไรที่เราเริ่มเปรียบเทียบ ก็จะทุกข์เมื่อนั้น เพราะไม่มีใครมีชีวิตที่เหมือนกันไปหมด ไม่มีใครมีชีวิตที่ดีตลอด หรือแย่ตลอด จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ และ ณ เวลาที่จุดหนึ่ง ย่อมมีคนที่มีชีวิตที่ดีกว่าหรือแย่กว่าเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเขาจะดีหรือแย่กว่าเราตลอดไป อย่างที่บอกตอนต้นเพราะชีวิตของคนทุกคนย่อมมีขึ้นและมีลง เพราะฉะนั้นอย่าได้ทุกข์ใจเพราะการนำชีวิตเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเลยค่ะ ให้เราดูชีวิตเราเองดีที่สุด หมั่นพิจารณาและรับรู้ไว้แค่ว่าสุขหรือทุกข์ อย่าเอาอารมณ์เติมแต่งลงไปอีก เพราะสุขนั้นจะกลายเป็นสุขสุด ๆ พอยามทุกข์ก็จะกลายเป็นทุกข์แสนสาหัส หากแค่เพียงรับรู้ เราก็จะไม่ทุกข์กับมันมากจนเกินไป เปรียบเหมือนคลื่นทะเลในยามที่คลื่นลมสงบ
สำหรับคนในวัยทำงาน ความสุขหรือทุกข์มักจะมาจากเรื่องงาน ไม่ก็ครอบครัว งานที่สำเร็จหรืองานที่ผิดพลาด ผลของงานนั้นมักจะมีสาเหตุนำมาก่อนเสมอ ผลนั้นมักมาจากการกระทำของเราเอง ผลที่ผิดพลาดมักทำให้เราเป็นทุกข์ และหลายครั้งที่เราไม่ยอมรับผลนั้น ๆ เรามักโทษคนอื่น โทษสิ่งรอบข้าง โทษระบบ โทษนู่นโทษนี่ และจมอยู่กับความทุกข์อันเกิดมาจากความคิดเราเอง และวนเวียนไม่รู้จักจบสิ้น .. หากเรากล้าที่จะเผชิญกับผลลัพธ์นั้น ๆ กล้าที่จะยอมรับกับผลลัพธ์ที่ไม่ดี ที่เราไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ดึงสติกลับมา ยอมรับและก้าวต่อ ฝึกเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต และพัฒนาตัวเอง เพื่อไม่ให้พลาดซ้ำอีก แค่นั้นเราก็จะก้าวข้ามผ่านจุดนั้นไปได้ ณ จุดที่เราเริ่มยอมรับ เปรียบได้กับการยกภูเขาออกจากอก ใจเราจะเบาอย่างเหลือเชื่อ คืนนั้นเราอาจจะนอนหลับสบาย หลังจากนอนไม่หลับมานาน .. ถ้ามองให้เห็นภาพก็เปรียบเหมือนเราเดินมาเจอแม่น้ำผุดขึ้นมาขวางกั้นเราไว้ระหว่างทางเพื่อไม่ให้เราไปถึงจุดหมาย แม่น้ำกลายเป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นมาฉับพลันโดยที่เราไม่คาดคิด แทนที่เราจะโทษเพื่อน ๆ ว่านำทางมาผิด โทษแผนที่ โทษดินฟ้าอากาศ เราแค่ยอมรับว่าเดินมาผิด และคิดหาวิธีแก้ไข แทนที่จะร้องห่มร้องไห้อยู่ที่ฝั่งและไม่ยอมเดินต่อ เราควรจะกลับมาคิดว่าทำอย่างไรให้เดินทางผ่านแม่น้ำนั้นให้ได้ หรือแม้แต่จะต้องหันหลังเดินกลับและยอมเสียเวลาหาเส้นทางใหม่เดิน ถึงแม้จะไกลกว่า แต่ในที่สุดเราก็จะถึงจุดหมายนั้นเหมือนเดิม เพียงเพราะเราตั้งใจฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคนั่นเอง
ชีวิตของคนทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องผ่านพบเจอกับปัญหาและอุปสรรคด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ก็ตาม เพราะก้าวแต่ละก้าวที่เขาเดิน ย่อมมีอุปสรรคขวากหนาม และทุกก้าวที่เขาข้ามผ่าน ได้สอนให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เขาจะพัฒนาไปอีกขั้นนึงเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จะไม่กลัวปัญหาอุปสรรคที่เข้ามาเลย เขาถึงประสบความสำเร็จได้ในที่สุด .. คนภายนอกมักจะมองคนเหล่านี้ ณ จุดที่เขาประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้มอง ณ จุดที่เขาผ่าน หากเราเรียนรู้ในวันที่เขาล้มลง และลุกขึ้นเดินใหม่ เราก็สามารถนำบทเรียนของพวกเขาเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองได้เช่นกัน ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จได้ โดยไม่ผ่านความล้มเหลวหรือผิดพลาดมาก่อน และคนที่ประสบความสำเร็จย่อมเกิดจากความพยายามในการทำสิ่งนั้น ๆ ให้สำเร็จ ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เหมือนที่สุภาษิตว่าไว้ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
ความทุกข์อีกรูปแบบหนึ่งมักเกิดจากความขัดแย้ง ไม่ว่าความขัดแย้งในตัวเอง ความขัดแย้งระหว่างผู้ร่วมงาน หรือคนในครอบครัว ผลที่ตามมาคือความทุกข์ทางจิตใจ ความโกรธ ความโมโห นั้นนำมาซึ่งไฟเผาไหม้ในใจเรา เราจะรู้สึกร้อนเป็นไฟ หากใครมาพูดอะไรไม่เข้าหูช่วงนั้น อาจระเบิดอารมณ์ขึ้นมาได้ .. สิ่งที่จะยับยั้งเหตุการณ์เหล่านี้ได้คือ “สติ” และ “การให้อภัย” หากตัวเองทำอะไรผิด จนเกิดความขัดแย้ง ความไม่ชอบตัวเอง ความผิดหวังในตัวเอง จนบางคนถึงกับทำร้ายตัวเอง จนถึงแก่ชีวิตก็มี ผลที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาเกินกว่าจะรับได้ เราอาจทิ้งความทุกข์อันแสนสาหัสให้กับคนที่รักเรา ครอบครัวเรา และตัวเราเอง .. ขอให้ตั้งสติ ให้อภัยตัวเอง ให้ความรักและความเมตตากับตัวเองมาก ๆ โอบกอดตัวเราไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง แล้วบอกกับตัวเองว่า “ฉันให้อภัยเธอนะ” เมื่อเราได้ให้อภัยตัวเองจริง ๆ ใจเราก็จะเบา และเย็นลง “สติ” จะทำให้เรารับรู้ถึงปัญหา และหาหนทางแก้ไข ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เมื่อหาวิธีทางแก้ไขที่เหมาะสม และเมื่อถึงเวลาที่พอเหมาะ ขอเพียงแต่ตั้ง “สติ” ให้มั่นเท่านั้นเอง .. ส่วนความขัดแย้งระหว่างคนในครอบครัวหรือผู้ร่วมงานนั้น มักเกิดจากการที่คนคนนึง ไม่ทำตามที่คนอีกคนคาดหวัง จึงเป็นที่มาของความขัดแย้ง และการทะเลาะเบาะแว้ง .. หากเราลดความคาดหวังนั้นลง ลดทิฐิ ลดอัตตา (ego) ยอมเปิดใจรับฟังความคิดแห็นหรือมุมมองของอีกฝ่ายหนึ่ง บางทีความขัดแย้งในใจเราอาจหายไปก่อนที่เราจะเกิดความโมโหหรือความโกรธก็เป็นได้ .. “สติ” จะเป็นตัวชะลอความโกรธ และหาต้นเหตุหรือที่มาของความขุ่นข้องหมองใจนั้น และผ่อนหนักให้เป็นเบา คุยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เหตุการณ์อันคุกรุ่น หรือทะเลาะวิวาทก็จะไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการทำร้ายกัน ให้เห็นบ่อย ๆ ตามหน้าหนังสิอพิมพ์ .. หากเราเอา “สติ” มาใช้ได้ทันท่วงที ..
นี่คงเป็นคติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เก็บมาเล่าสู่กันฟังเนื่องในวันปีใหม่นะคะ จากเรื่องเมื่อวันวาน นำมาสู่การพัฒนาตัวเองในวันต่อ ๆ ไป .. ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด ไม่มีใครไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ไม่มีใครมีสุขตลอดเวลา หรือแข็งแรงตลอดไป จงตั้งรับกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตเรา มีสุข ก็ย่อมมีทุกข์ คละเคล้ากันไป ตามวังวนของชีวิต บางครั้งเราก็ต้องหยุดเรือ รอคลื่นลมสงบ และค่อยไปต่อ แต่หากคลื่นลมสงบนิ่งอยู่ ก็อย่าประมาทจงเตรียมพร้อมสำหรับพายุลูกถัดไป
.. อย่าหันกลับไปโหยหากับอดีตที่ผ่านไปแล้ว อย่ากังวลกับเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิด อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด .. แล้วเราจะมีสุขในทุก ๆ วันค่ะ