ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย

สรุปจาก Oral History ของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย

 

เหตุผลและการเข้ามาเป็นนักเรียนแพทย์ที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

                            ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทยให้เหตุผล 2 ประการที่มาเรียนที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ประการที่ 1 คือ มารดาปลูกฝังว่า โตขึ้นต้องเป็นแพทย์และเพื่อนจำนวนถึงครึ่งห้องสมัครสอบเข้าแพทย์ทำให้ตัดสินใจต้องเรียนแพทย์ให้ได้ ประการที่ 2 คือ ได้เลือกมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เป็นอันดับ 1 เพราะชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ อีกทั้งมีคณะแพทย์ที่ตั้งใหม่โดยต้องเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์เป็นเวลา 2 ปี มีศาสตราจารย์ ดร. สตางค์ มงคลสุขเป็นคณบดีท่านแรก เพื่อนมารดาซึ่งเป็นแพทย์เชียร์ว่าต้องมาเรียนที่โรงเรียนอาจารย์สตางค์ให้ได้(สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์) ซึ่งรับนักศึกษาเข้าเรียนได้มากจำนวน 300 กว่าคน เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะสอบได้มีสูงกว่ามหาวิทยาลัยอื่น

                            ช่วงที่อาจารย์เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์นั้นมีสถานะเป็นแค่นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ก่อนยังไม่ได้เป็นนักศึกษาแพทย์ จะเป็นเมื่อเรียนครบ 2 ปี
และจะต้องถูกคัดเลือกข้ามฟาก (ผู้ที่ไปเรียนที่คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล ต้องข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกว่าข้ามฟาก จึงเป็นที่มาของคำว่าข้ามฟาก เมื่อจบปี 2 ต้องข้ามฟากกันทุกคน ไม่ว่าจะไปเรียนที่คณะแพทย์ใด) ไปเรียนสังกัดคณะแพทย์ใดคณะแพทย์หนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งมี 3 แห่ง คือ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สังกัด มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สังกัด มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์เป็นรุ่นสุดท้ายที่มีโอกาสได้เลือกทั้ง 3 แห่ง

 

เล่าถึงชีวิตการเป็นนักเรียนแพทย์ ในคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

                           ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย เป็นนักศึกษารุ่นที่ 3 เพื่อนส่วนใหญ่จะเลือกเรียนที่คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล เพราะรับนักศึกษาจำนวนเป็นร้อย ส่วนคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีรับนักศึกษา 64 คน มีนักศึกษาสนใจที่จะเรียนในคณะฯ มากเพราะว่าเป็นคณะแพทย์เปิดใหม่ ผลปรากฏว่าผลิตผลของคณะฯ ดีมีคุณภาพเป็นที่เลื่องลือ สิ่งที่ท้าทายมากคือ การจัดการเรียนการสอนที่ไม่เหมือนคณะแพทย์อื่น เพราะในระดับ 4 ปีแรก เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ อีกสองปีสุดท้ายเรียนที่คณะฯ สิ่งที่แปลกคือ เป็นหลักสูตร 6 ปี (2, 2, 2) คือ 2 ปีแรก คือ เตรียมแพทย์ (วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และจิตวิทยา เป็นพื้นฐานทั่วไป) เรียนอีก 2 ปี คือ ปรีคลินิก สอนโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านปรีคลีนิก เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ (เปลี่ยนชื่อจากวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล) ปรัชญาสร้างบัณฑิตแพทย์ของคณะฯ กำหนดไว้ชัดเจน คือ สร้างแพทย์เป็นนักวิชาการ มูลนิธิเร็อคกี้เฟลเลอร์ส่งอาจารย์ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกามาช่วยสร้างหลักสูตรและสอนนักศึกษาแพทย์ รุ่น 1 – 5 (เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ)

                           อาจารย์ที่สอนที่คณะฯ ล้วนเรียนจบจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด คือ สหรัฐอเมริกา ออสเตรีย อังกฤษ เยอรมัน และ ญี่ปุ่น เพราะความหลากหลายทางด้านวิชาการของอาจารย์จึงช่วยหล่อหลอมลูกศิษย์ตามปรัชญาของคณะฯ ได้ดีมาก นักศึกษาแพทย์จะถูกฝึกให้อ่านตำราภาษาอังกฤษ และต้องใช้วิจารณญาณในการเขียนรายงานคนไข้เป็นภาษาอังกฤษในเวชระเบียนอย่างมีเหตุผล นักศึกษาแพทย์ของคณะฯ จึงหัวแข็งต้องถามเหตุผลก่อนเสมอ ไม่กลัวใคร ในเรื่องวิชาการเป็นที่เลื่องลือมาก กล้าพูดกล้าแสดงออก ให้ความเคารพในความคิดต่างที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนั้นอาจารย์ยังได้รับการปลูกฝังจากอาจารย์ที่สอนเรื่องจริยธรรมความรับผิดชอบต่อคนไข้และหน้าที่การงาน

                           ความแตกต่างระหว่างนักศึกษาแพทย์ของคณะฯ และคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล คือ คนทั่วไปยังไม่มั่นใจในคุณภาพของนักศึกษาแพทย์ของคณะฯ และนักศึกษาแพทย์มีความเป็นนักปฏิรูป ในขณะที่นักศึกษาแพทย์ศิริราชนั้นลงตัวแล้วและมีความเป็นอนุรักษ์นิยม อาจารย์มีความภาคภูมิใจที่เลือกเรียนไม่ผิดเพราะคุณลักษณะของคณะฯ ตรงกับความเป็นตัวตนของอาจารย์

                           อาจารย์ทำกิจกรรมมากมายตั้งแต่เรียนปี 1(ทำให้เกิดการสนิทกันอย่างดีในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ รุ่น 1 – 7) ช่วง พ.ศ. 2516 มีการเคลื่อนไหวของนักศึกษาอย่างยิ่งใหญ่ นักศึกษาแพทย์มีกิจกรรมออกค่ายเพื่อช่วยเหลือชุมชน อาจารย์ไปออกค่ายในวิชาเวชศาสตร์ชุมชนด้วยโดยใช้เวลาปิดเทอมเป็นเวลา 10 อาทิตย์ และกิจกรรมอื่นๆ คือ รับน้องใหม่ ส่งพี่ งานเลี้ยงต่าง ๆ เป็นกรรมการของสโมสร กรรมการของชั้นปี ทำหนังสือโดยมีตำแหน่งเป็นสาราณียากร และงานสังคมต่างๆ

 

ประสบการณ์ด้านการทำงานและการเป็นผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

                           ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานว่า หลังจากอาจารย์เรียนจบจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ไปเป็น Intern ที่ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ช่วงนั้นรัฐบาลให้ทุนแก่ผู้จบแพทย์เพื่อดึงแพทย์จบใหม่ให้อยู่ประเทศไทยโดยต้องทำงานให้รัฐบาลผู้ที่เซ็นสัญญากับรัฐบาลถ้าไม่ปฏิบัติตามต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 10,000.00 บาทต่อปี ทั้งที่สอบ ECFMG ได้เหมือนเพื่อนๆ แต่อยากอยู่ประเทศไทย อาจารย์จึงตัดสินใจรับทุนรัฐบาลและเรียนต่อเป็นแพทย์ประจำบ้านที่คณะฯ และได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องไปต่างจังหวัด ช่วงที่เป็นแพทย์ประจำบ้านต้องฝึกกับคนไข้จริง อาจารย์ได้รับการสอนให้มีความรับผิดชอบต่อคนไข้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เช่นเดียวกับแพทย์ทุกคนของคณะฯ

                           สิ่งที่อาจารย์ประทับใจ ภาคภูมิใจ คือการช่วยให้คนไข้ไม่ตายซึ่งเท่ากับได้ช่วยคนอีกมากมาย คือ ลูก ภรรยา สามี ญาติ พ่อ แม่ ของคนไข้โดยทำให้เขาไม่ต้องจากกัน

                           หลังจากที่จบแพทย์ประจำบ้าน 3 ปี ได้เป็นอาจารย์ที่ ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา แล้วไปเรียนเพิ่มเติมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง อดีตคณบดี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ทวี บุญโชติ ได้ขออนุญาตหัวหน้าภาควิชาสูติฯ ให้อาจารย์ช่วยเป็นอนุสาสกของนักศึกษาแพทย์ และงานเกี่ยวกับแพทยศาสตรศึกษา

                           อาจารย์มีหลักการบริหารงาน ว่าการที่จะเป็นนักบริหารที่ดีต้องศึกษาประวัติศาสตร์การบริหารทั้งหมด ศึกษาพัฒนาการการบริหารว่าเริ่มมาอย่างไรและปัจจุบันอยู่ ณ จุดใด รวมทั้งมีอะไรเป็นปัจจัยที่สำคัญบ้าง อาจารย์ให้ความสำคัญด้านคุณภาพ และใช้หลักการของอาจารย์เองคือ 5 M ประกอบด้วย คน (Man) เงิน (Money) และวัตถุดิบ (Material) การบริหารจัดการ (Management) และศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม (Moral)

 

ความเปลี่ยนแปลงของโรงพยาบาลรามาธิบดีจากอดีตมาสู่ยุคปัจจุบัน

                           ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย ให้ความเห็นว่าคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมีความเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงที่เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ โดยมีการสร้างอาคารมากขึ้น นับเป็นหลักที่ถูกต้องที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเช่นนี้ เพราะได้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินเต็มที่เนื่องจากคณะฯ มีที่ดินน้อย แต่การก่อสร้างอาคารเพิ่มมีข้อจำกัดในเรื่องการก่อสร้างอาคารสูง คณะฯ เริ่มมีบุคลากรมากและมีคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ต้องสูงมาก เพราะฉะนั้นต้องมีอาคารสถานที่เพิ่มขึ้นและพยายามออกแบบ ตกแต่งให้ดูร่มเย็น สบายใจจะช่วยลดความรู้สึกแออัดได้

 

ฝากข้อคิดในการทำงานและการบริหารงาน

                            ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย ได้ฝากข้อคิดให้ชาวรามาธิบดี ว่าในขณะที่ยังปฏิบัติงานในคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ขอให้ทำสิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้คณะฯ และประเทศชาติ และให้ถามตัวเองตลอดเวลาว่าได้ทำอะไรให้คณะฯ บ้างก่อนที่จะไปจากคณะฯ อย่าตักตวงจากคณะฯ เพราะคณะฯ ได้ให้พวกเราอยู่แล้ว

 

การเป็นผู้นำด้านการใช้ตัวอักษรตัวเลยไทย

                            ในด้านการอนุรักษ์อักษรและตัวเลขของภาษาไทยนั้นและศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย ได้ผลักดันให้คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ใช้ตัวเลขภาษาไทยในการเขียนเอกสารต่างๆ ของสำนักงานในคณะฯ มาจนทุกวันนี้ อาจารย์ให้ข้อมูลว่าอาจารย์เป็นคนไทย ในช่วงที่ไปต่างประเทศได้ไปเห็นสิ่งที่น่าสลดใจมาก คือตัวอักษรและตัวเลขของชนชาติต่างๆ มีอยู่แค่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้นไม่มีใครใช้อีกต่อไปแล้วรวมทั้งชนชาติเจ้าของตัวอักษรและตัวเลขนั้นๆ เองก็ไม่ใช้

                            ในฐานะที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นหนึ่งในคณะของมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษา มีหน้าที่ 1 ข้อ คือ ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ต้องเป็นตัวอย่างวัฒนธรรม เครื่องแสดงความเจริญ ความงอกงามทางสังคม คือ ภาษาไทย อาจารย์พิจารณาว่าไม่มีการใช้ตัวเลขไทยในเอกสารทั้งหมด จึงริเริ่มกำหนดให้ใช้ในหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดสำนักงานคณบดี คณะฯ เช่น งานกิจการนักศึกษา งานทรัพยากรบุคคล ซึ่งในช่วงแรกๆ ยังไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติและละเลยไปบ้าง อาจารย์ขอให้ช่วยกันพัฒนาไว้ให้คนรุ่นหลังมีทักษะการใช้ตัวเลขไทย เพราะภาษาเป็นรากวัฒนธรรมถ้าไม่มีภาษาแล้ววัฒนธรรมจะไม่เจริญ

 

การดำเนินงานและการก่อตั้งหน่วยหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์รามาธิบดี

                            ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย ได้ให้ข้อมูลที่จุดประกายการก่อตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์รามาธิบดี ว่า ได้มีการปรึกษาและวางแผนกับอาจารย์หลายท่านรวมถึงศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อร่าม โรจนสกุล ที่จะต้องเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งมีอายุเกือบ 50 ปีแล้ว (โดยหลักการถ้าองค์กรมีอายุ 25 ปี ขึ้นไปแล้วสามารถที่จะรวบรวมเอกสารจดหมายเหตุได้) ในเบื้องต้นมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาดูงานด้านแนวคิดและการดำเนินงานของการจัดตั้งหอจดหมายเหตุฯ ทั้งของสถาบันอุดมศึกษาและของรัฐ ในที่สุดได้จัดตั้งคณะกรรมการดูแลการจัดตั้งหอจดหมายเหตุฯ ขึ้นและกรรมการฯ สรุปว่าให้ยึดหลักการสำคัญ 3 ประการ ดังนี้ ประการที่ 1 คือ รวบรวมข้อมูลรูปภาพพิธีการสำคัญต่างๆ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณะฯ ตั้งแต่ก่อนก่อตั้งคณะฯ จนถึงปัจจุบัน ประการที่ 2 คือ เป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลประวัติศาสตร์ของคณะฯ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับทราบ ค้นคว้า นำข้อมูลใช้ประโยชน์ในการศึกษา ประการที่ 3 ผู้สนใจสามารถทำ Knowledge Management ได้

                            ต่อมามีการจัดทำส่วนจัดแสดงของหอจดหมายเหตุฯ ในอาคารใหม่ อาจารย์ได้กล่าวชื่นชมศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อร่าม โรจนสกุล ที่นำทีมช่วยดำเนินการเรื่องนี้ได้ดีจนสำเร็จและสวยงาม แต่นั่นเป็นเพียงส่วนจัดแสดงเท่านั้น สิ่งที่ต้องเป็นภาระหน้าที่สำคัญต่อไป คือ มีพื้นที่ทำเป็นแหล่งที่รวบรวมจัดเก็บเอกสารต้นฉบับ และอุปกรณ์เครื่องมือที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของคณะฯ และมีสำนักงานของหอจดหมายเหตุฯ