ประวัติความเป็นมา

ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย

 

 

     วิชาชีพการแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมายประกอบด้วย การแก้ไขการพูด และการแก้ไขการได้ยิน ได้เข้าร่วมมีบทบาทในการบริการทางด้านสาธารณสุขนานกว่า 30 ปีโดยศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล และรองศาสตราจารย์ ดร.รจนา ทรรทรานนท์ ได้วางรากฐานงานทางด้านโสตสัมผัสวิทยาและการแก้ไขการพูด ที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 หลังจากที่อาจารย์ทั้งสองท่านสำเร็จการศึกษาด้านโสตสัมผัสวิทยาและการแก้ไขการพูด ตามลำดับ จาก Temple University ประเทศสหัรฐอเมริกา และได้เริ่มจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาความผิดปกติของการสื่อความหมาย ตั้งแต่ปีพ.ศ.2519 นับเป็นสถาบันแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ทำให้มีบุคลากรที่สำเร็จการศึกษามารับใช้สังคมในการวินิจฉัยความผิดปกติของการสื่อความหมาย ให้การช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถสื่อความหมายได้เช่นเดียวกับคนทั่วไปโดยไม่ต้องเป็นภาระของสังคม
 

การผลิตบุคลากรเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากความจำกัดของอาจารย์ผู้สอน ซึ่งต้องรับผิดชอบทั้งงานด้านบริการและการศึกษา การศึกษาในระดับมหาบัณฑิตที่ต้องใช้เวลาหลายปีทำให้ไม่สามารถเพิ่มการผลิต เป็นผลให้จำนวนบุคลากรไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้ป่วย ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับ สถาบันจึงได้มีการผลิตบุคลากรระดับประกาศนียบัตร สาขาความผิดปกติของการสื่อความหมาย (หลักสูตร 1 ปี) เมื่อสำเร็จการศึกษาปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ สาขาความผิดปกติของการสื่อความหมาย ทำให้มีการกระจายของบุคลากรตามจังหวัดต่างๆ มากขึ้น อย่างไรก็ดี วิชาการและเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เนื้อหาวิชาการที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ สถาบันจึงดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร โดยจัดทำหลักสูตรอนุปริญญา สาขาความผิดปกติของการสื่อความหมาย ในปี พ.ศ.2542 เพื่อให้เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์เข้ารับการศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาออกไปปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานวิทยาศาสตร์ สาขาความผิดปกติของการสื่อความหมาย นอกจากนั้นยังได้ปรับเปลี่ยนคุณวุฒิการศึกษาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต เป็นวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต เมื่อปี พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นปีที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมายเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ ตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2545 ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขาการแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมายรับรอง จะต้องสอบความรู้และกฎหมายเพื่อขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ

 

     แม้ว่าสถาบันได้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้การเรียนการสอนมีความทันสมัยเป็นปัจจุบันแล้วก็ตาม การรับนักศึกษาเข้าเรียนในหลักสูตรมหาบัณฑิต ซึ่งได้เปิดกว้างสำหรับผู้มีพื้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทางการศึกษา และจิตวิทยา เป็นต้น เข้ามาศึกษาต่อ โดยจะต้องเริ่มเรียนเนื้อหาวิชาที่จำเป็นพื้นฐานก่อนเข้าศึกษาในหลักสูตร ได้แก่ กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินและการพูด ภาษาศาสตร์สัทศาสตร์ และเนื้อหาวิชาในหลักสูตรมหาบัณฑิตที่นักศึกษาต้องเรียนรู้ มีเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้เรียนต้องใช้เวลานานในการศึกษาและต้องทำวิทยานิพนธ์ ประกอบกับการที่การศึกษามีเพียงหลักสูตรอนุปริญญา และปริญญาโท ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาไม่สามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาโทได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ทางการศึกษาของวิชาชีพ และมีความต่อเนื่อง สถาบันจึงได้จัดทำหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาความผิดปกติของการสื่อความหมาย (หลักสูตร4ปี) โดยทางคณะฯได้เริ่มรับนักศึกษารุ่นแรกด้วยการสอบเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของประเทศ (มหาวิทยาลัยมหิดล) ในปีการศึกษา2547

     จวบจนปัจจุบัน การจัดการศึกษาของสาขาการแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมายในประเทศไทย มีความเป็นพื้นฐานตั้งแต่ระดับปริญญาตรีและมีความต่อเนื่องในระดับปริญญาโท รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานการประกอบโรคศิลปะ แต่ปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อวิชาชีพยังคงเกี่ยวข้องกับจำนวนบุคลากร ที่ไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้ที่มีความผิดปกติของการสื่อความหมาย จากการคาดการณ์อัตรากำลังคนด้านสาธารณสุข โดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ประมาณความต้องการบุคลากรสาขาแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมาย ในปี 2555 ประมาณ 1000 คน ในขณะที่ปัจจุบันมีบุคลากรที่ได้รับการขึ้นทะเบียนประกอบโรคศิลปะเพียง 252 คน ดังนั้น บุคลากรในวิชาชีพ ทั้งส่วนของการให้การบริการ สถาบันการจัดการศึกษา รวมถึงผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศ จำเป็นต้องร่วมมือประสานงานกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในช่วงเวลา15 ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาเรื่องจำนวนบุคลากร มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า และไม่ทันต่อเหตุการณ์ เพราะมีปัจจัยและอุปสรรคหลายประการ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ วิธีการที่จะช่วยบรรเทาความขาดแคลนที่น่าจะเป็นไปได้ คือ การกระจายบุคลากรไปยังพื้นที่ที่ยังไม่มีบุคลากรอยู่เลย เพื่อเริ่มบริการในพื้นที่นั้นๆ ทำให้พื้นที่บริเวณข้างเคียงสามารถส่งต่อผู้ป่วยถึงกันได้ง่ายขึ้น สำหรับการแก้ปัญหาการเพิ่มจำนวนในด้านการผลิต จำเป็นต้องคำนึงถึงคุณภาพและมาตรฐานเป็นสำคัญ ทำอย่างไรจึงจะไปถึงจุดนั้น นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทาย