
คุณเชื่อไหมว่า เราทุกคนเมื่อเจอใครทำพฤติกรรมไม่ดีกับเราหรือขัดใจเรา การตอบสนองแรกเลย คือ เราจะคิดในแง่ลบทันที การแสดงออกนั้นมีหลากหลาย ทั้งโกรธ ทั้งโมโห เก็บกด ร้องไห้ บางคนยั้งไม่อยู่ก็แสดงออกด้วยการ พูดจาไม่ดี จนถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง หรือถ้าแย่มาก ๆ ก็ลงไม้ลงมือกันเลย จริง ๆ แล้วสิ่งที่คนเราแสดงออก มักจะมีเหตุผลที่แท้จริงเสมอ ... ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมหนึ่ง ชื่อว่า “การพัฒนาทางจิตใจตามแนวทาง mindfulness และ Satir model” ซึ่งกิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เรารู้ทันความคิดตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่เป็น สามารถเข้าใจตัวเอง รวมทั้งผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เราสามารถพัฒนาตัวเองและดูแลสุขภาพจิตของเราได้ดียิ่งขึ้น
Satir model มาจากชื่อของนักสังคมสงเคราะห์ และนักจิตบำบัดชาวอเมริกัน ท่านหนึ่งคือ Virginia Satir เธอเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานกับคนไข้ และช่วยเหลือบำบัดจิตใจคนไข้มาตลอด แต่แนวคิดของ Satir นั้นลึกซึ้ง เธอไม่ได้มองปัญหาแค่เพียงผิวเผิน แต่เธอกลับมองไปที่ส่วนลึกหรือสาเหตุของปัญหานั้น ๆ คือ ความต้องการลึก ๆ ของแต่ละคน สะท้อนมาเป็นพฤติกรรมที่เราเห็นและสัมผัสได้อย่างไร ดังนั้น เธอจึงแนะนำนักจิตบำบัดท่านอื่นให้หาความเชื่อมโยงระหว่างครอบครัวและคนไข้ร่วมด้วย เพราะปัญหาของคนไข้ที่เจอ อาจจะไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง ด้วยแนวคิดเช่นนี้ ประกอบกับการเป็นนักเขียนและนักถ่ายทอดที่ดี Satir model จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่จิตแพทย์ นักจิตบำบัด และประชาชนทั่วไป และมีการถ่ายทอดกันต่อ ๆ มา ดังกิจกรรมที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดให้กับบุคลากรในคณะฯ ได้รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น โดยได้อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Satir model คือ รศ. นพ.พิชัย อิฏฐสกุล ศ. พญ.รัตนา สายพานิชย์ และ รศ. พญ.สุวรรณี พุทธิศรี มาเป็นผู้สอน ผู้เขียนจึงโชคดีมากที่ได้มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน
สิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนและคิดว่าเป็นแก่นหลักของ Satir model คือ “ภูเขาน้ำแข็งของซาเทียร์ (iceberg)” พอเขียนมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่าคืออะไร ถ้าทุกท่านนึกภาพตามจะเห็นว่า ภูเขาน้ำแข็งที่โผล่เหนือพื้นน้ำนั้น จริง ๆ แล้วมีภูเขาน้ำแข็งก้อนมหึมาอยู่ใต้น้ำลึกอีก สิ่งที่เราเห็นจึงเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งเป็นส่วนที่เล็กมาก ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำนั้น เปรียบได้เหมือนกับ “พฤติกรรม (behavior)” ของคน ที่เราเห็นและสัมผัสได้ แต่เราไม่รู้เลยว่า ทำไมเขาถึงแสดงพฤติกรรมนั้น ๆ ออกมา ... Satir จึงชวนให้เราเข้าใจและให้เราดำดิ่งลงไปสำรวจภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำกันบ้าง เริ่มจากภูเขาน้ำแข็งชั้นแรกที่อยู่ใต้น้ำก่อนเลย ...

ชั้นแรก คือ รูปแบบการรับมือกับปัญหา หรือกลไกป้องกันตัวเอง (coping stances) ซึ่งเป็นรูปแบบการตอบสนองต่อสถานการณ์หรือผู้อื่นซึ่งมีอยู่ 4 แบบ ได้แก่ การยอมตาม (placate) ไม่ว่าใครจะว่าอะไร เรามักก้มหน้าก้มตารับมาหมด แม้ตัวเองไม่ผิดก็รับมา เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกบาดหมางกัน คนที่มักตอบสนองด้วยวิธีนี้ คนจะชอบเพราะเป็นคนนอบน้อม น่ารัก แต่วันหนึ่งตัวเองอาจจะรับไม่ไหว อึดอัดและเก็บกดได้ วิธีการตอบสนองเช่นนี้เกิดจากเราแคร์คนอื่น แต่ไม่ดูแลจิตใจตัวเองเท่าไร เพราะเป็นการลดคุณค่าของตัวเอง ส่วนการกล่าวโทษ (blame) เป็นการตำหนิผู้อื่น รูปแบบนี้จะตรงข้ามกับการยอมตามอย่างสิ้นเชิง การตอบสนองแบบนี้จะเป็นการลดคุณค่าของคนอื่น ผู้ที่มักปกป้องตัวเองด้วยวิธีนี้จะสนใจสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเชื่อ ลักษณะของคนที่ตอบสนองแบบนี้มักจะเป็นคนขี้โมโห จุกจิก ซึ่งการตอบสนองแบบนี้จะทำให้บุคคลนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนรอบข้างตามมา อันต่อไปเป็นคน “เจ้าเหตุผล” (super-reasonable) คนที่ใช้เหตุผลเกินเหตุ จะไม่ได้สนใจความรู้สึกหรืออารมณ์ของตัวเองและผู้อื่น (no empathy) จะยึดเหตุผลและกฎเกณฑ์ จะอยู่เหนือปัญหา คนที่ตอบสนองด้วยวิธีนี้จะรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะไม่มีความเชื่อมโยงกับผู้อื่น อันสุดท้าย การตอบสนองแบบเฉไฉ (irrelevant) การตอบสนองแบบนี้ไม่มีรูปแบบตายตัว แต่ตรงข้ามกับคนที่ใช้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง คนที่ตอบสนองแบบนี้ มักเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา ทำให้ตัวเองและคนอื่นหลุดพ้นจากความเครียดได้ดีด้วยบทสนทนาทั่ว ๆ ไป ไม่มีแก่นสาร แต่จริง ๆ แล้วเขาหนีปัญหามากกว่าเผชิญหน้า คนกลุ่มนี้จะไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับใครรวมทั้งตัวเอง เพราะปิดหูปิดตา
ชั้นที่สอง คือ “ความรู้สึก (feeling)” พฤติกรรมที่แสดงออกมักจะมาจากความรู้สึกของคน ๆ นั้น เช่น สนุก เศร้า โกรธ กลัว ยกตัวอย่าง หากเราโมโห สิ่งนี้ถือว่าเป็นความรู้สึก เราจึงแสดงออกด้วยอาการหน้าบูดบึ้งหรืออาจพูดจาไม่ดี ซึ่งอันนี้ถือเป็นพฤติกรรม
ชั้นที่สาม คือ “ความรู้สึกต่อความรู้สึก (feeling about feeling)” คือ ความรู้สึกที่มีต่ออารมณ์ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่โมโห เรารู้สึกดีกับตัวเองที่มีความสุข เป็นต้น
ชั้นที่สี่ คือ “การรับรู้ (perception)” คือ การรับรู้ต่อตัวเอง (self) ผู้อื่น (other) และสิ่งแวดล้อม (context) ผ่านความคิด ทัศนคติ และมุมมอง ซึ่งการรับรู้ในสิ่งเดียวกัน แต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน เนื่องมาจากมุมมอง ทัศนคติหรือความเชื่อของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น ฉันเชื่อว่าการโมโหเป็นสิ่งไม่ดี ฉันจึงรู้สึกไม่ดีกับตัวเองเวลาที่ตัวเองโมโห พฤติกรรมของฉัน คือ พยายามเก็บความโมโหนั้นไว้ ไม่กล้าแสดงออก ในขณะที่เพื่อนฉันบอกว่าการโมโหสำหรับเขา ถือว่าได้ปลดปล่อยอารมณ์ และคนอื่นสามารถรับรู้ได้ว่าเขาโมโห ทำให้เขาหายโมโหได้เร็ว พฤติกรรมของเขาจึงแสดงออกว่าตัวเองโมโห
ชั้นที่ห้า คือ ความต้องการต่อตนเอง คนอื่นและสิ่งรอบข้าง (expectation) หรือ เรียกง่าย ๆ ว่าความคาดหวังนั่นเอง เช่น เราต้องการให้เพื่อนพูดจาดีดีกับเรา แสดงว่าเราคาดหวังในความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อน เราต้องการให้แฟนดูแลและเอาใจใส่เราดีกว่านี้ แสดงว่าเราคาดหวังให้แฟนรักเรา เป็นต้น
ชั้นที่หก คือ ความปรารถนา หรือ ความต้องการที่แท้จริง (yearning) ชั้นนี้เป็นชั้นที่ลึกซึ้งมาก เพราะมันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และรู้ว่าทำไมเราถึงแสดงพฤติกรรมนั้น ๆ ออกมาเพราะเหตุผลใด ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการความรัก ความห่วงใย ต้องการการยอมรับ ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดี รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการความมั่นคงและปลอดภัย ต้องการอิสระ ต้องการความสงบ ต้องการมีคุณค่า หากเราเข้าใจตัวเองในชั้นนี้แล้ว ก็จะนำไปถึง Satir model ในชั้นสุดท้ายแล้วค่ะ
ชั้นสุดท้าย คือ ตัวตนของเราเอง (self) เมื่อเราเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจชั้นนี้ด้วย คือ ความเป็นตัวฉัน แก่นของเรา หรือ พลังชีวิต (life energy) ของเรา เช่น เราเป็นคนมีพลังบวก หรือพลังลบ มีความคิดสร้างสรรค์ การมองโลกในแง่ดี เป็นต้น
พอเราเข้าใจตัวเองแล้ว ทีนี้เราก็สามารถพัฒนาให้ตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น รักตัวเองมากขึ้น เรามีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการแก้ปัญหา หรือ ยอมรับในสิ่งนั้น ๆ ยอมรับว่าจริง ๆ แล้วเราความต้องการที่แท้จริงเราคืออะไร ช่วยให้ชีวิตเรามีความสอดคล้องและกลมกลืนมากขึ้น จิตใจเราจะสมดุล และมีความเชื่อมโยงกับทั้งตัวเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม หากทุกท่านสามารถนำ Satir model ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ผู้เขียนเชื่อว่าเราจะมีความสุขสงบทางจิตใจมากขึ้น
บทความนี้เป็นบทความที่สะท้อนถึงสิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้มาจากกิจกรรมนี้เท่านั้นนะคะ ... ผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Satir model โดยตรง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย หากท่านผู้อ่านสนใจอยากเรียน ปัจจุบันมีการเปิดอบรมอยู่เป็นระยะๆ สามารถติดตามได้ที่ website ของ “สมาคมพัฒนาศักยภาพมนุษย์และจิตบำบัดแนว ซาเทียร์” ซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าอบรมด้วยค่ะ