
ยาแก้แพ้เป็นยาที่ใช้ป้องกันหรือบรรเทาอาการแพ้ เช่น น้ำมูกหรือน้ำตาไหล แพ้อากาศ ผื่นคัน ลมพิษ โดยยาแก้แพ้จะเข้าไปยับยั้งสารก่อแพ้ คือ ฮิสตามีน จึงบรรเทาอาการแพ้ได้ ซึ่งยาแก้แพ้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

💊💊 1. ยาแก้แพ้กลุ่มดั้งเดิม หรือยาแก้แพ้แบบที่ทำให้ง่วง
เช่น คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine) ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine) ไดเมนไฮดริเนต (dimenhydrinate) ไฮดรอไซซีน (hydroxyzine) บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine) ยาในกลุ่มนี้สามารถใช้รักษาอาการเยื่อจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ ที่มีอาการคัน จาม และช่วยลดนํ้ามูกได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาอาการเมารถ-เมาเรือได้ โดยรับประทานยาทุก 4-6 ชั่วโมงตามอาการ


⚠️⚠️ ข้อควรรระวัง ⚠️⚠️
- ยากลุ่มนี้ทำให้ง่วงซึม จึงควรระวังการใช้ในผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องจักร ขับรถ
- ในส่วนอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น จมูกแห้ง ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า นํ้าหนักตัวเพิ่ม
- ยาแก้แพ้ทำให้ความจำไม่ดีในผู้สูงอายุ
- ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน
💊💊 2. ยาแก้แพ้กลุ่มใหม่ หรือ ยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วง (non-sedating antihistamines)
เช่น ยาเซทิริซีน (cetirizine) เลโวเซทิริซีน (levocetirizine) เฟโซเฟนาดีน (fexofenadine) และลอราทาดีน (loratadine) ยาแก้แพ้ชนิดนี้จะผ่านเข้าสมองได้น้อย จึงทำให้กินแล้วไม่ง่วงซึมเท่ายาแก้แพ้แบบดั้งเดิม รวมถึงผลข้างเคียงอื่น เช่น จมูกแห้ง ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า จะพบน้อยกว่ากลุ่มดั้งเดิมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาจให้ผลบรรเทาอาการน้ำมูกไหลได้ไม่ดีเท่ากลุ่มดั้งเดิม โดยรับประทานวันละ 1 ครั้ง

💊💊 เปรียบเทียบการเลือกใช้ แบบง่วงหรือไม่ง่วง 💊💊 โดยสรุปแล้ว ยาแก้แพ้กลุ่มใหม่นั้นมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแก้แพ้กลุ่มดั้งเดิม แต่ก็อาจให้ผลการรักษาอาการแพ้ได้ไม่ดีเทียบเท่ายาแก้แพ้กลุ่มดั้งเดิม ดังนั้น การเลือกใช้จึงต้องพิจารณาว่าอาการของผู้ป่วยหนักขนาดไหน และสามารถรับผลข้างเคียงเรื่องความง่วง หรืออาการข้างเคียงอื่นได้มากขนาดไหน ถ้าเป็นภูมิแพ้อากาศทั่วไปก็อาจเลือกใช้ยาแก้แพ้กลุ่มใหม่ แต่ถ้าเป็นหวัดแล้วมีน้ำมูกไหลเยอะ ก็อาจต้องใช้ยาแก้แพ้กลุ่มดั้งเดิม