นิตยสารทุกฉบับ
รวมนิตยสาร
บทความประจำ
เลือกดูบทความจากทุกเล่ม
ค้นหาบทความ
ค้นหาจากหัวข้อ

เรื่องแพ้ ๆ ที่ชนะได้

Volume
ฉบับที่ 56 เดือนเมษายน 2568
Column
ThinkPlus
Writer Name
รศ. พญ.โสมรัชช์ วิไลยุค ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

   @Rama ฉบับนี้กล่าวถึงเรื่อง “แพ้ ๆ” อ่าน ๆ ดูท่านผู้อ่านอาจท้อใจ ไม่มีเรื่อง “ชนะ ๆ” มาให้อ่านกันเลย .. เอาเป็นว่าเรามาเข้าใจเรื่อง “แพ้” ก่อน แล้วเรามาหาวิธีทำให้เรา “ชนะ” กันดีกว่านะคะ 

    โรคเรื้อรังที่พบบ่อยมาก ๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะในเด็กยุคปัจจุบัน คือ โรคภูมิแพ้ค่ะ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า “โรคภูมิแพ้” มีความหมายว่าอย่างไร เพราะจะมีโรคที่เรียกว่า “โรคแพ้ภูมิตัวเอง” ด้วย ซึ่งโรคในทั้ง 2 กลุ่มนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนะคะ โรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่เราได้รับสิ่งแปลกปลอมภายนอกหรือที่เรียกว่าสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ยา อาหาร ฯลฯ แล้วทำให้ร่างกายเรามีปฏิกิริยาสร้างสารเคมีชื่อฮิสตามีน (histamine) ขึ้นมา ทำให้มีอาการ คัน จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก ผู้ป่วยบางรายอาจมีผื่นลมพิษร่วมด้วย บางรายเป็นมากถึงเกิดอาการหอบหืด หรือหากแพ้ขั้นรุนแรงสามารถช็อกหรือความดันตกได้เลยค่ะ ส่วนโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นโรคเรื้อรังเช่นกันเกิดจากภูมิต้านทานของเราเองเกิดทำงานมากผิดปกติ จึงเกิดการรวนขึ้นมา จากเดิมทำหน้าที่ปกป้องเราจากเชื้อโรค คราวนี้กลับมาทำร้ายร่างกายเราเอง ทำให้เกิดการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ โรคกลุ่มนี้ไม่ต้องเจอสิ่งแปลกปลอมอะไร ก็สามารถเกิดขึ้นเองได้ค่ะ แต่มีไม่น้อยเหมือนกันที่ได้รับสิ่งกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น การติดเชื้อ สารเคมี รังสียูวี ยาบางชนิด ความเครียด สาเหตุที่กระตุ้นมีด้วยกันหลากหลายสาเหตุมากเลยค่ะ พออ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะท้อแล้ว แล้วทำอย่างไรเราถึงป้องกันโรคเหล่านี้ได้ 

    เนื่องจากบทความนี้เป็นบทความ THinK+ คือ บทความชวนให้ทุกท่านมาคิดบวกนะคะ เราลองมามองดูอีกมุมกันดีกว่า ว่าเราจะอยู่กับมันอย่างไรให้มีความสุขได้ โรคในกลุ่มภูมิแพ้ เป็นโรคที่เรื้อรังก็จริง แต่หากรักษาอย่างถูกวิธีและปฏิบัติตัวได้ดี โดยมากจะควบคุมอาการได้ค่อนข้างดีค่ะ การรักษาด้วยยาจะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ทำให้อาการทุเลา แต่การรักษาต้นเหตุคือ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งจะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุค่ะ ตัวอย่างเช่น แพ้ไรฝุ่น เราก็ควรหลีกเลี่ยงไรฝุ่น ร่างกายเราก็จะไม่เกิดอาการแพ้ขึ้นมา ท่านผู้อ่านบอกว่าพูดง่ายแต่ทำยาก ก็จริงนะคะ เพราะหากต้องหลีกเลี่ยงต้องเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่แพ้จริง ๆ คืออะไร มีผู้ป่วยหลายรายเข้าใจผิดเรื่อง “ฝุ่น” อย่างมาก คิดกันว่าฝุ่นที่แพ้คือฝุ่นละออง ตามพื้นถนน หรือสิ่งก่อสร้าง แต่จริง ๆ สิ่งที่แพ้คือ “ไรฝุ่น” ซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ มี 8 ขา ออกลูกเป็นไข่ ชอบอยู่ในที่ชื้น ตามที่นอน โซฟา พรม ผ้าม่าน ตุ๊กตา กินรังแคของเราเป็นอาหาร เราถึงชอบมีอาการแพ้ตอนกลางคืน และตอนเช้าหลังตื่นนอน เราจึงควรหลีกเลี่ยงโดยการทำความสะอาดและเก็บสิ่งที่ไรฝุ่นชอบไปอยู่ เช่น ตุ๊กตา หนังสือ ให้เรียบร้อย เด็กส่วนใหญ่ชอบนอนกอดตุ๊กตา เอาไปดมทั้งคืน ตื่นมามีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำเป็นภัยมืดใกล้ตัว แค่เอาตุ๊กตาไปเก็บก็สามารถลดอาการได้มากในระดับหนึ่ง การเปลี่ยนและซักผ้าปูที่นอนก็สำคัญ ควรเปลี่ยนทุกอาทิตย์ เพราะไรฝุ่นจะอยู่ตามผ้าปูที่นอน ออกลูกออกหลานได้มหาศาล การซักด้วยน้ำร้อน 60 องศานาน 30-40 นาทีจะช่วยกำจัดตัวและไข่ของไรฝุ่นทำให้ปริมาณลดน้อยลงได้ ส่วนฝุ่นตามท้องถนนนั้นเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของ PM 2.5 ที่มาจากคำว่า particulate matter with diameter less than 2.5 micron นอกจากฝุ่นตามท้องถนน ไม่ว่าจะมาจากการก่อสร้าง ไอเสียจากรถยนต์ แล้วยังรวมถึงควันที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงบางชนิดของโรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานไฟฟ้าอีกด้วย ล่าสุดที่เป็นข่าวกันอยู่บ่อย ๆ คือ การเผาไหม้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากไฟไหม้หรือการเผาหญ้า เผาอ้อย ฯลฯ แต่ท่านผู้อ่านสงสัยไหมคะว่าสิ่งเหล่านี้ก็เกิดมาตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งมาตื่นตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

    สาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งคือปรากฏการณ์ “อุณหภูมิผกผัน” (Temperature inversion) แค่ฟังชื่อก็ชวนให้งงแล้วใช่ไหมคะ เอาเป็นว่าเรามาเข้าใจกันก่อนว่าในภาวะปกติ “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” หมายความว่าอุณหภูมิจะลดลงเมื่อความสูงเพิ่มขึ้น ดังนั้นบนพื้นดินจะร้อนกว่าอากาศที่อยู่ในระดับสูง และอากาศที่ร้อนนั้นจะลอยตัวขึ้นสู่ที่สูง ทำให้เอาสารมลพิษ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ลอยขึ้นไปด้วย และฝุ่นจะกระจายตัวเบาบางลงตามแรงลมที่พัด แต่ในกรณีที่เกิดปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผันจะตรงข้ามกัน คือ “ยิ่งสูงยิ่งร้อน” ดังนั้นในหน้าหนาว อากาศบนพื้นดินจะเป็นอากาศเย็น แต่เมื่อระดับสูงขึ้นจะเป็นอากาศร้อน และในชั้นนอกสุดถึงจะเป็นอากาศเย็นอีกทีหนึ่ง ดังนั้นในภาวะเช่นนี้ หากเกิดฝุ่น PM 2.5 ฝุ่นนี้จะไม่สามารถลอยขึ้นไปกับอากาศที่ร้อนได้ เพราะอุณหภูมิพื้นดินขณะนั้นจะเย็น และอากาศร้อนที่อยู่ในชั้นกลางจะกลายเป็นเสมือนฝาชีที่ครอบฝุ่นไว้ ไม่ให้ฝุ่นกระจายตัวไปไหน ประกอบกับในภาวะที่ไม่มีลม ยิ่งทำให้ฝุ่น PM 2.5 ขึ้นสูงมาก ๆ โดยเฉพาะในฤดูหนาว ท่านจะสังเกตว่าทำไมภาคเหนือถึงมีฝุ่น PM 2.5 สูงมาก ๆ ในขณะที่ภาคใต้ค่าฝุ่น PM 2.5 ต่ำกว่าภาคอื่น ๆ เป็นเพราะว่าภาคใต้มีลมพัดตลอดนะคะ ไหนจะลมทะเล ลมฝน ส่วนกรุงเทพฯ นี่ลมพัดน้อยมาก ยิ่งมีตึกระฟ้าเต็มไปหมด จะพัดก็ติดตึก อันนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝุ่น PM 2.5 ไม่ลอยไปไหน เพราะไม่มีลมพัดพาไป ..

ภาวะอุณหภูมิผกผันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่ในภาวะโลกร้อนก็อาจจะทำให้เกิดบ่อยกว่าปกติ ถึงจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่พวกเราช่วยกันแก้ไขได้ คือ พยายามลดแหล่งกำเนิดของ PM 2.5 เพราะเราไปเปลี่ยนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติไม่ได้ แต่เราช่วยลด PM 2.5 ได้ เช่น การหมั่นตรวจเช็ครถยนต์ของเราไม่ให้ปล่อยควันพิษจากท่อไอเสีย รถยนต์บางคันเก่ามาก ควันดำมาก บางคันก็ชอบจอดติดเครื่องในโรงจอดรถ ทำให้เกิดมลพิษอย่างมาก หากลดการใช้รถยนต์และใช้ขนส่งสาธารณะแทนก็จะช่วยลดมลพิษได้เช่นกัน ปัจจุบันจึงมีการรณรงค์ให้ใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น หากมีราคาถูกลงเราคงเข้าถึงกันได้มากขึ้นนะคะ เป็นความหวังหนึ่งเลยทีเดียว ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือควันพิษจากการเผาไหม้ ก็เป็นอีกสองสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ฝุ่น PM 2.5 สูง โดยเฉพาะระยะหลัง ๆ ที่มีการเผาอ้อย หรือเผาหญ้ากันเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากเป็นประโยชน์ทางการเกษตร แต่เป็นผลเสียทางด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนสาเหตุในบ้านที่ช่วยกันลด PM 2.5 ได้คือ ควันจากบุหรี่ และควันจากธูปเทียน ถึงแม้จะเป็นบุหรี่ไฟฟ้าก็สามารถสร้างฝุ่น PM 2.5 ได้เช่นกันนะคะ ไม่ได้เบาลงเลย ทางที่ดีเลิกสูบจะดีที่สุด นอกจากช่วยสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยทำให้สุขภาพตัวเองดีขึ้นอีกด้วย ส่วนฝุ่น PM 2.5 เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้อย่างไร จริงๆ เกี่ยวหลายอย่างเลยนะคะ ฝุ่น PM 2.5 ทำให้คนที่เป็นโรคภูมิแพ้อาการแย่ลง จากหลายกระบวนการเลยทีเดียว ได้แก่ การทำลายเยื่อบุผิวในระบบทางเดินหายใจ ทำให้สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบในทางเดินหายใจ ได้ตั้งแต่จมูก หลอดลม ปอด เกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทำให้เกิดการอักเสบ และการแพ้ที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ จะเห็นว่าผู้ป่วยบางรายมีเลือดกำเดาไหลมากช่วงฝุ่น PM 2.5 สูง และอีกหลายรายที่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม และอาการหอบมากขึ้น

    คราวนี้เราพอมีความรู้เรื่องภูมิแพ้ และฝุ่น PM 2.5 กันแล้วนะคะ สิ่งที่เราพอทำได้ในขณะนี้คือช่วยกันลดการสร้างฝุ่น PM 2.5 อย่าคิดว่ามันเป็นสิ่งไกลตัว ถ้าทุกท่านช่วยกันคนละไม้คนละมือ สามารถทำให้ฝุ่นลดลงไปได้มากเช่นกัน ในขณะเดียวกันเราคงต้องป้องกันตัวเองร่วมด้วย ในวันที่ฝุ่น PM 2.5 สูง เราก็ควรใส่หน้ากากป้องกัน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งไปก่อน ส่วนในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ต้องได้รับการรักษาการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก หรือหลอดลม (ถ้ามี) และต้องหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ถึงแม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะแพ้ไรฝุ่น แต่สามารถแพ้ได้มากกว่าหนึ่งชนิด และในผู้ป่วยแต่ละรายก็อาจจะแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์โรคภูมิแพ้ เพื่อหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ของท่านและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ดังกล่าวนะคะ .. ต่อไปนี้ขอให้ท่านผู้อ่านเอา “ชนะ” โรคภูมิแพ้ให้จงได้นะคะ

ดาวน์โหลดเพื่ออ่านรูปแบบ PDF
เนื้อหาภายในฉบับที่ 56