วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ วัคซีน COVID-19 นั้น คาดการณ์กันว่าจะเป็นการทำให้การระบาดใหญ่สงบลง โดยมีบริษัทยาทำการผลิตวัคซีนจากหลายแห่งทั่วโลกออกมาใช้ได้สำเร็จ ขณะนี้มีวัคซีนมากกว่า 40 ชนิดที่อยู่ในระหว่างการทดลองในมนุษย์ และมากกว่า 150 ชนิดที่อยู่ในขั้นทดลองในห้องปฏิบัติการหรือทดลองในสัตว์ โดยสามารถติดตามความคืบหน้าได้จากเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก จำนวนเข็มของการรับวัคซีนจะขึ้นอยู่กับวัคซีนที่ได้รับ วัคซีนที่ผลิตในขณะนี้บางชนิดจะให้ฉีดเพียงครั้งเดียว แต่ส่วนมากจะให้ฉีด 2 ครั้ง โดยครั้งที่สองจะกำหนดไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีนครั้งแรก การฉีดวัคซีนจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายสูงเพียงพอที่จะทำให้ไม่เกิดโรค หรือถ้าเกิดโรคก็จะไม่รุนแรงเท่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน
สำหรับวัคซีนที่มีในประเทศไทยขณะนี้คือ
1. ซีโนแวค (Sinovac) มีการศึกษาในประเทศบราซิลว่า มีประสิทธิภาพประมาณ 50.4% ซึ่งมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในประเทศไทย
2. อ๊อกฟอร์ด แอสตร้าเซเนก้า (Oxford/AstraZeneca COVID-19 vaccine) หรือเรียกว่า AZD1222 มีประสิทธิภาพ 63.9% ต่อการติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอาการ โดยมีการศึกษาพบว่าการให้ระยะเวลาระหว่างเข็มแรกและเข็มที่สองห่างกัน 8-12 สัปดาห์จะยิ่งทำให้วัคซีนประสิทธิภาพดีขึ้น โดยความเสี่ยงในการหญิงตั้งครรภ์ยังไม่ทราบชัดเจน ให้พิจารณาว่าวัคซีนนั้นมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วย COVID-19 ที่ตั้งครรภ์อาจมีประโยชน์ในการป้องกันมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิด เป็นต้น
ชื่อวัคซีน | โมเดอน่า | ไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเท็ค | จอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน แจนเซ่น |
---|---|---|---|
ชื่อภาษาอังกฤษ | Moderna | Pzifer-BioNTech | Johnson & Johnson Janssen |
ชื่อทางการแพทย์ | mRNA-1273 | BNT162b2 | JNJ-78436735 |
บริษัทที่ผลิต | โมเดอน่าทีเอ็กซ์ | ไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเท็ค | แจนเซ่น |
ชนิดของวัคซีน | เอ็มอาร์เอ็นเอ | เอ็มอาร์เอ็นเอ | วัคซีนแบบใช้พาหะของไวรัสอื่น 1 เข็ม |
จำนวนเข็ม | 2 เข็ม ห่างกัน 28 วัน | 2 เข็ม ห่างกัน 21 วัน | วัคซีนแบบใช้พาหะของไวรัสอื่น 1 เข็ม |
บริเวณที่ให้ | บริเวณกล้ามแขน | บริเวณกล้ามแขน | บริเวณกล้ามแขน |
อายุที่ควรให้ | อายุ 18 ปีขึ้นไป | อายุ 16 ปีขึ้นไป | อายุ 18 ปีขึ้นไป |
ประสิทธิภาพ | 94.10% | 95% | 66.30% |
โดยวัคซีนโมเดอน่า ทำการศึกษาในคนขาว 79% คนเอเชีย 5% ในจำนวนนี้มี 25% ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ และ 22% มีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่ โรคปอด โรคหัวใจ เบาหวาน โรคตับ ภาวะอ้วน และโรคติดเชื้อเอชไอวี
วัคซีนไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเท็ค ทำการศึกษาในคนขาว 82% คนเอเชีย 4% ในจำนวนนี้มี 51% 22% มีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่ โรคปอด เบาหวาน ภาวะอ้วน
ส่วนวัคซีนจอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน แจนเซ่น ทำการศึกษาในคนขาว 59% คนเอเชีย 3% โดยมีจำนวนเพียง 1 ใน 3 ที่ทำในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี
วัคซีนมีความปลอดภัยหรือไม่ มีรายงานว่า มีอาการเจ็บหรืออักเสบบริเวณที่ได้รับวัคซีนบ้าง บางครั้งอาจมีอาการคล้ายเป็นหวัดหลังฉีดวัคซีน แต่มักจะหายไปเองใน 1-2 วัน มีการรายงานเพิ่มเติมสำหรับวัคซีนบางตัว เช่น โมเดอน่า ว่ามีผื่นหลังจากที่ฉีดไปแล้วมากกว่า 7 วัน สำหรับ อ๊อกฟอร์ด แอสตร้าเซเนก้า ยังมีอุบัติการของลิ่มเลือดอุดตันในผู้ที่ได้รับวัคซีนชาวยุโรปบางประเทศ เพียงไม่กี่สิบรายในแสนรายที่ได้รับวัคซีน เนื่องจาก COVID-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ และยังมีการให้วัคซีนไม่นานมาก ยังต้องติดตามผลเรื่องความปลอดภัย และประสิทธิภาพในประชากรแต่ละกลุ่ม ในแต่ละประเทศอย่างต่อเนื่อง
วัคซีนสามารถต้านเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ได้หรือไม่ ขณะนี้ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตอบได้สำหรับไวรัสที่กลายพันธุ์ เพราะมีบางรายงานตรวจพบว่าระดับแอนติบอดี้ลดลง ซึ่งมีความจำเพาะกับบางวัคซีน และบางสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ แต่จะมีข้อมูลเพิ่มเติมออกมาหลังจากที่มีการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ที่พบการกลายพันธุ์ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป