โบท๊อกซ์ (Botox) สารลดริ้วรอยยอดนิยม
เมื่อเอ่ยถึงโบท๊อกซ์ ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้ยินชื่อกันมาแล้ว บางท่านอาจจะเคยได้รับการรักษาด้วยสารชนิดนี้มาก่อน ในขณะที่บางท่านอาจจะอยากรักษาแต่ลังเลและกลัวอันตราย บางท่านอาจจะมีความคิดว่ายังไงก็จะไม่ฉีดสารชนิดนี้ในชีวิตนี้แน่นอน ฉบับนี้เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับสารยอดฮิตชนิดนี้กันครับ
สารชนิดนี้มีชื่อสามัญทางการแพทย์ว่า โบทูลินุ่มท๊อกซิน ซึ่งปัจจุบันในท้องตลาดมีโบทูลินุ่มท๊อกซินหลายยี่ห้อ โบท๊อกซ์ก็เป็นหนึ่งในยี่ห้อเหล่านั้น สารชนิดนี้ได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว และถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 โดยนำมาใช้ครั้งแรกเพื่อรักษาเด็กที่มีอาการตาเขจากกล้ามเนื้อตาทำงานผิดปกติ และในภายหลังได้นำมาใช้กันอย่างกว้างขวางสำหรับโรคหรือภาวะที่กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป
ออกฤทธิ์อย่างไร
สารชนิดนี้จะออกฤทธิ์โดยลดการหลั่งสารที่มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ผลที่ได้คือกล้ามเนื้อจะคลายตัวออก เนื่องจากสารชนิดนี้จะจับอยู่กับโปรตีน จึงมีโอกาสที่ร่างกายจะดื้อต่อสารชนิดนี้ได้ในอนาคตหากเลือกใช้สารที่มีโปรตีนโมเลกุลใหญ่
โรคหรือภาวะที่สามารถใช้สารโบทูลินุ่มท๊อกซินในการรักษาได้
โรคและความผิดปกติที่สามารถรักษาได้ด้วยโบทูลินุ่มท๊อกซิน เช่น โรคความผิดปกติของกล้ามเนื้อตาหรือตาเข โรคตากระตุก โรคกล้ามเนื้อเกร็งกระตุกจากตัวกล้ามเนื้อเองหรือจากความผิดปกติของสมอง ภาวะปวดศีรษะจากไมเกรน ความผิดปกติของกล้ามเนื้อทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร
สำหรับผิวหนังสามารถนำมาใช้รักษาในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก และใช้เพื่อลดริ้วรอยเสริมความงามได้
โบทูลินุ่มท๊อกซินกับความงาม
โบทูลินุ่มท๊อกซิน ได้ถูกค้นพบโดยบังเอิญว่าสามารถลดริ้วรอยบนใบหน้าได้โดยสังเกตจากการรักษาผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อตากระตุกแล้วพบว่าริ้วรอยบริเวณหางตาหายไปด้วย จึงทำให้มีการนำสารโบทูลินุ่มท๊อกซินมาใช้กับปัญหาความงามโดยเฉพาะปัญหาริ้วรอย ซึ่งรอยย่นที่ใช้แล้วได้ผล ได้แก่ รอยย่นที่เกิดจากการขยับตัวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยบริเวณหางตา นอกจากนี้ยังนิยมนำมาใช้ปรับรูปหน้า หากฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณกราม จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามคลายตัว ผลที่ได้คือใบหน้าเรียวเล็กลง
ปัจจุบันโบทูลินุ่มท๊อกซินกลายเป็นสารยอดนิยมสำหรับผู้ที่เข้ามารักษาปัญหาความงาม หากดูตัวเลขจากสมาคมศัลยศาสตร์ความงามแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจะพบว่า โบทูลินุ่มท๊อกซินจัดเป็นหัตถการที่มีผู้นิยมใช้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของหัตถการเพื่อความงามทั้งหมด
ผลการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
หากเป็นการรักษาริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลการรักษาภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยจะพบว่ากล้ามเนื้อจะค่อยๆ คลายตัวออก ริ้วรอยจะหายไป ผู้ที่เข้ารับการรักษาสามารถไปทำงานต่อได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามสารชนิดนี้ไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 เดือน เพื่อให้คงสภาพผลของการรักษา สำหรับผลข้างเคียงของการรักษาด้วยสารโบทูลินุ่มท๊อกซินนั้นมีน้อยมาก หากเลือกชนิดของสารที่เหมาะสมและฉีดถูกต้องตามหลักการ อาจมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยและพบเป็นจุดจ้ำเลือดออกขนาดเล็กบริเวณที่ฉีด
ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของสารโบทูลินุ่มท๊อกซิน
มีหลายท่านเข้าใจว่าสารโบทูลินุ่มท๊อกซินเป็นสารอันตราย กังวลว่าจะตกค้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วสารโบทูลินุ่มท๊อกซินไม่ตกค้างในร่างกาย ภายหลังฉีดประมาณ 2 ชั่วโมงยาจะถูกซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อและเริ่มออกฤทธิ์ ซึ่งฤทธิ์จะหมดไปภายใน 4-6 เดือน ดังนั้นจึงไม่มีทางเกิดเป็นก้อนในระยะยาวแน่นอน ที่สำคัญทางองค์การอาหารและยาทั้งสหรัฐอเมริกาและไทยได้รับรองถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาวแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าไม่อันตราย หากใช้ฉีดตามข้อบ่งชี้และฉีดถูกต้องตามหลักการ บางท่านสับสนกับการฉีดสารกลุ่มซิลิโคนที่เคยเป็นที่นิยมใช้เสริมความงามในสมัยก่อน หากเป็นสารกลุ่มซิลิโคนจริงจะถือว่าอันตราย เนื่องจากจะทำให้เกิดก้อนใต้ผิวหนังในอนาคตได้ ดังนั้นทางองค์การอาหารและยาจึงไม่รับรองถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารกลุ่มซิลิโคน
การฉีดสารโบทูลินุ่มท๊อกซินเพื่อความงาม…เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับใคร
การฉีดสารโบทูลินุ่มท๊อกซินจะเหมาะสมกับผู้ที่มีริ้วรอยที่เกิดจากการขยับโดยเฉพาะรอยที่บริเวณ
ใบหน้าส่วนบน เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยหางตา ผู้ที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกรามใหญ่เกิน จนทำให้ใบหน้าดูใหญ่ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก เช่น เหงื่อออกใต้วงแขนหรือที่ฝ่ามือมากจนเสียบุคลิก และผู้ที่กำลังมองหาการรักษาริ้วรอยชนิดที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลเร็ว
ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะสมที่จะรับการรักษาด้วยสารโบทูลินุ่มท๊อกซิน ได้แก่ ผู้ที่มีโรคความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและประสาท รวมถึงผู้ที่ได้รับยาบางชนิดที่อาจทำให้การออกฤทธิ์ของสารผิดแผกไป
ต้องบอกว่าสารโบทูลินุ่มท๊อกซินสามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัย 80-90 ปี ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ได้แก่ กล้ามเนื้อมัดใหญ่บริเวณกราม ทำให้ใบหน้ากว้าง หากเป็นวัยที่มากกว่านั้นมักมีปัญหาเรื่องริ้วรอย อย่างไรก็ตาม หากสภาพปัญหามาก อาจต้องทำการรักษาควบคู่กับวิธีอื่นด้วย เช่น การใช้เลเซอร์ การใช้เครื่องยกกระชับใบหน้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของผู้ป่วยแต่ละรายว่าต้องการมากน้อยเพียงใด