รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องรอยย่นกวนใจ เช่น รอยย่นที่หน้าผาก หางตา รอยขมวดคิ้ว ร่องแก้ม ร่องใต้ตา จนทําให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย อย่าเพิ่งเครียดหรือหมดกําลังใจไปซะก่อน ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน รอยดังกล่าวสามารถแก้ไขได้โดยไม่ยากเย็น
เทคโนโลยีดังกล่าวที่ว่าคือการใช้สารคลายกล้ามเนื้อหรือที่เรียกว่า ‘โบท็อกซ์’ (Botox) และสารเติมเต็มที่เรียกว่า ‘ฟิลเลอร์’ (Filler) หลายท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์กับการรักษาด้วยโบท็อกซ์และสารฟิลเลอร์มาแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่เคยและลังเลว่าควรหรือไม่ควร ในวันนี้เราจะมาทําาความรู้จักกับสารโบท็อกซ์และฟิลเลอร์กัน
![รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด](/sites/default/files/public/img/knowledge_awareness_health/2_80.jpg)
สารโบท็อกซ์ หรือชื่อเต็มทางการแพทย์คือ สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน จัดเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ทําให้กล้ามเนื้อคลายตัว โดยกลไกการทํางานของสารนี้จะทําให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับยาขยับน้อยลงและคลายตัวออก ดังนั้น รอยย่นที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยที่หางตาจะค่อยๆ หายไป สารตัวนี้ออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อ ส่วนวิธีการที่จะได้รับยาคือการฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อ หากใช้วิธีการทายาจะทําให้สารไม่สามารถซึมลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อได้
บางคนอาจกังวลว่า จะทําให้เกิดก้อนสะสมขึ้นได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เนื่องจากยาตัวนี้จะซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อและออกฤทธิ์ ดังนั้น ยาจะไม่ไปทําให้เกิดก้อนใต้ผิวแต่อย่างใด ตัวยาจะค่อยๆ สลายไปเองใน 4 เดือน และเพื่อให้ได้ผลต่อเนื่อง จึงควรฉีดทุก 4 เดือน นอกจากการใช้โบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังสามารถใช้ลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณกรามทําให้ใบหน้าเรียวขึ้นได้อีกด้ว
![รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด](/sites/default/files/public/img/knowledge_awareness_health/4_31.jpg)
สําหรับ ‘ฟิลเลอร์’ หรือที่เรียกว่าสารเติมเต็ม มีข้อบ่งชี้คือใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังเพื่อเติมหรือเสริมส่วนที่บกพร่องจริงๆ แล้วฟิลเลอร์มีใช้กันมานานหลายสิบปี โดยเริ่มมีวิวัฒนาการมาจากการใช้สารกลุ่มฟาราฟิน ซิลิโคน คอลลาเจน แต่พบว่ามีปัญหาเรื่องการเกิดปฏิกิริยาหลังฉีด เกิดก้อนภายหลัง ซึ่งมักจะเกิดหลังจากฉีดเป็นเดือนหรือเป็นปี จึงได้มีการพัฒนา มาเป็นสารที่มีปฏิกิริยาน้อย
![รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด](/sites/default/files/public/img/knowledge_awareness_health/5_15.jpg)
สารฟิลเลอร์ตัวล่าสุดที่นิยมใช้กันคือ สารกลุ่มไฮยารูโลนิก แอซิด หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า เอชเอ ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในผิวมนุษย์ สารตัวนี้ได้นํามาใช้ได้ประมาณ 10 ปีแล้ว โดยพบว่าไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาหรือก้อนในภายหลัง สําหรับบริเวณที่นิยมใช้สารฟิลเลอร์ ได้แก่ ร่องแก้ม ร่องบริเวณมุมปาก ริมฝีปาก ข้อดีของฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิก แอซิด คือไม่เกิดก้อน และโอกาสเกิดการแพ้น้อยมาก แต่ข้อเสียคือต้องฉีดซ้ำเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากตัวสารจะค่อยๆ สลายไปเองในช่วงเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี แล้วแต่ชนิดของไฮยาลูโรนิกแอซิ
ส่วนสารฟิลเลอร์ชนิดอื่นที่มีใช้ในต่างประเทศ เช่น แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทท์ และโพลีแอลแลคติก แอซิด เป็นสารที่อยู่ในผิวหนังได้นานเป็นปีและจะค่อยๆ สลายไป สารเหล่านี้ได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกาให้ใช้เพื่อการเติมเต็มแล้ว แต่ยังไม่มีการนําาเข้ามาใช้ในประเทศไทย
การฉีดสารโบท็อกซ์ และการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องมีการเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ การรักษาส่วนมากจะใช้เวลา 5-20 นาที ในรายที่กลัวความเจ็บ แพทย์อาจใช้ยาชาชนิดทา ทาก่อนเริ่มทําการรักษาประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้ป่วยส่วนมากจะกลับไปทํางานต่อได้ทันที สิ่งสําคัญที่สุดก่อนที่จะทําการรักษาคือต้องคุยกับแพทย์ถึงความต้องการและให้แพทย์ประเมินความเป็นไปได้ถึงผลที่จะได้รับ สําหรับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือ การมีจําเลือดบริเวณที่ฉีด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จึงจะดีขึ้น จึงมีข้อแนะนําว่า ควรหยุดยาที่อาจทําให้เลือดออกง่ายก่อนจะฉีด เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด ยาละลายลิ่มเลือด วิตามินอี น้ำมันปลา ใบแปะก๊วย รวมทั้งไม่ควรฉีดหากจะมีงานสําคัญในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
![รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด](/sites/default/files/public/img/knowledge_awareness_health/6_10.jpg)
นอกจากนี้ การฉีดโบท็อกซ์อาจเกิดผลข้างเคียงได้ หากยากระจายไปยังกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการ จึงควรงดนวดหน้าภายหลังการฉีด และควรหลีกเลี่ยงการนอนราบภายหลังฉีด 4 ชั่วโมง ข้อสําคัญคือ ควรเลือกสถานที่ฉีดที่ไว้ใจได้ เพื่อป้องกันโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ปลอม หรือจําพวกที่ไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) นอกจากนี้ ควรมีการเตรียมพร้อมเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งสําคัญอีกประการหนึ่ง แต่อย่าพิจารณาเรื่องปัจจัยด้านราคาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากสารโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ เหมือนรถตามท้องตลาดที่มีราคาหลากหลาย ฉะนั้น ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับงบประมาณโดยที่ยังได้ทั้งคุณภาพและไม่เกิดผลเสียในระยะยาวด้วย
![รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด](/sites/default/files/public/img/knowledge_awareness_health/7_3.jpg)
สารโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ชนิดไฮยารูโลนิกแอซิด ได้ถูกนํามาใช้ในทางผิวหนังไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว และเป็นสารที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา จึงมั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความปลอดภัยหากใช้ตามข้อบ่งชี้ที่เหมาะสม ข้อมูลจากแผนกผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีพบว่า จํานวนผู้ที่เข้ามารับบริการการรักษาดังกล่าวมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย สิ่งที่สําคัญคือ ผู้ที่รับการฉีดควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทําการรักษา ควรรับทราบผลการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยเพื่อที่จะได้มีข้อปฏิบัติตัวที่ดีทั้งก่อนและหลังทําการรักษา