โรคมะเร็งปอด

โรคมะเร็งปอด (โดย รศ. พญ.ธัญนันท์ เรืองเวทย์วัฒนา) 

 

ทำความรู้จักกับโรคมะเร็งปอด
 

การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดในมุมมองของผู้รักษา
เมื่อหมอเป็นผู้ดูแล และแม่เป็นผู้ป่วยมะเร็งปอด

ไม่น่ากลัวอย่างที่คุณคิด ?

         “มะเร็งปอด ไม่น่ากลัวอย่างที่คุณคิด” เป็นประโยคที่หมอมักจะบอกผู้ป่วยของหมอทุกคน ในวันที่เราพบกันครั้งแรกและผู้ป่วยที่เพิ่งทราบว่ามีเซลล์มะเร็งปอดอยู่ในร่างกาย ทำไมหมอถึงได้บอกแบบนี้กับผู้ป่วย ส่วนหนึ่งเพื่อให้กำลังใจกับผู้ป่วย

         อีกส่วนหนึ่งคือมันเป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ต้องบอกว่ามีวิวัฒนาการต่างๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งการวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นและระยะแพร่กระจาย ซึ่งมีอะไรบ้างนั้นผู้อ่านจะเข้าใจมากขึ้นเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบ รวมถึงการดูแลตนเองในระหว่างการรักษาทั้งในแง่มุมของผู้รักษาและผู้ป่วย

         มะเร็งปอดแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 2 ชนิด คือ ชนิดเซลล์ขนาดเล็ก (small cell lung cancer) และชนิดเซลล์ที่ขนาดไม่เล็ก (non-small cell lung cancer) ซึ่งในกลุ่มหลังนี้พบได้ 85% ของมะเร็ง ปอดทั้งหมด และในกลุ่มนี้ยังมีแยกย่อยออกเป็นชนิดต่างๆ อีกหลายชนิด เช่น squamous cell carcinoma, adenocarcinoma และอื่นๆ กลุ่มที่เป็น adenocarcinoma นั้นปัจจุบันมีการรักษาด้วยยากลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้น และมีผลการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดีมาก

         ในสมัยก่อนนั้นการวินิจฉัยมะเร็งปอดทำได้ยาก แต่พอเข้าสู่ยุคที่มีการทำสแกนคอมพิวเตอร์ (CT scan) การสแกน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และล่าสุดการสแกนด้วย PET scanรวมถึงเทคนิคต่างๆ ของการส่องกล้องหลอดลม และการเจาะ ตรวจชิ้นเนื้อเพื่อให้ได้มาซึ่งการวินิจฉัยเซลล์มะเร็งปอดนั้นทันสมัยขึ้น ทำให้เราสามารถวินิจฉัยได้รวดเร็วเมื่อผู้ป่วยมีอาการ ผิดปกติ ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านั้นแล้วแต่ว่าตัวเซลล์มะเร็งปอดนั้นอยู่ที่ตำแหน่งไหนในร่างกายเรา โดยส่วนใหญ่มักจะมาด้วยอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอแบบมีเสมหะปนเลือด เหนื่อย หายใจไม่สะดวก นํ้าหนักลดมากในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นต้น ผู้ป่วยบางคนอาจจะมาด้วยอาการทางระบบประสาท ถ้าเซลล์มะเร็งปอดแพร่กระจายไปอยู่ที่สมองหรือไขกระดูกสันหลัง เช่น อาการแขนขาอ่อนแรง ชา กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ หรือบางคนมีอาการปวดกระดูกมาก ถ้าเซลล์มะเร็งปอดนั้นแพร่กระจายไปอยู่ที่กระดูก เป็นต้น

         การรักษามะเร็งปอดในระยะเริ่มแรกนั้น การรักษาหลัก คือ การผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดก็ก้าวหน้าไป มากกว่าในอดีตมาก ส่วนการรักษามะเร็งปอดระยะลุกลามนั้น ในอดีตที่ผ่านมาการรักษาหลัก คือ การให้ยาเคมีบำบัด ฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำเหมือนเวลาให้นํ้าเกลือ ซึ่งในอดีตนั้นมียาเคมีบำบัดอยู่แค่ไม่กี่ชนิดที่เราสามารถใช้ได้ในการรักษา มะเร็งปอด และผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง และมีการติดเชื้อง่าย เนื่องจากยาเคมีบำบัดนั้น ไปกดการสร้างเม็ดเลือดที่ไขกระดูกในร่างกายอย่างที่เราทราบกันโดยทั่วไป ทำให้ผู้ป่วยบางคนกลัวการให้ยาเคมีบำบัดมาก

         แต่อย่างที่หมอได้กล่าวข้างต้น “มะเร็งปอด ไม่น่ากลัวอย่างที่คุณคิด” ปัจจุบันได้มียาเคมีบำบัดกลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายชนิดซึ่งผลข้างเคียงในการรักษาน้อยกว่ายาเคมีบำบัดในกลุ่มเก่ามากแต่อย่างไรก็ตาม ยาเคมีในกลุ่มเก่าบางชนิดก็ยังคงต้องใช้ในการรักษาผู้ป่วย และในปัจจุบันก็มีการพัฒนายากลุ่มใหม่ๆ ที่ได้ผลดีมากในการรักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากยาเคมีบำบัดตามมา เช่น ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน หรือยาที่ช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาว เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่หมอจะบอกและขอยืนยัน คือ “ยาเคมีบำบัดในการรักษามะเร็งปอด ไม่น่ากลัวอย่างที่คุณคิด” จริงๆ

         ในปัจจุบันอย่างที่หมอได้เกริ่นในข้างต้น คือ มียาต้านมะเร็งกลุ่มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ที่ใช้ได้ผลดีในมะเร็งกลุ่มที่เป็น Adenocarcinoma โดยการรักษาแบบนี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า “การรักษาแบบตรงจุด หรือแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy)” เป้าหรือจุดคืออะไร ต้องขออธิบายว่า ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และหมอมะเร็งได้ค้นพบว่าการเกิดมะเร็งปอดนั้นเกิดจากหลายปัจจัย และหนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นในผู้ป่วยบางรายมีลักษณะทางพันธุกรรมหรือยีนในร่างกายที่เกิดการกลายพันธุ์ไป ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ในครอบครัว ยีนที่พบว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอดนั้น ขณะนี้มีหลักๆ อยู่สองชนิด คือการกลายพันธุ์ของ Epidermal Growth Factor Receptor (EGFR) ซึ่งในคนผิวขาวพบได้ 10-20% แต่ในคนเอเซียพบได้ถึง 50-70% โดยพบมากในคนที่ไม่สูบบุหรี่หรือเลิกสูบบุหรี่มานานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ความผิดปกติอีกชนิดหนึ่ง คือ การสลับที่และรวมกันของยีน Echinoderm microtubule-associated protein-like 4 fused with the anaplastic lymphoma kinase (EML4-ALK fusion gene) พบได้ประมาณ 5-7% และเช่นกันส่วนมากพบในผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่สูบบุหรี่มักจะไม่พบความผิดปกติของยีน 2 ชนิดนี้ทำให้ไม่สามารถใช้ยาต้านเฉพาะจุดที่จะกล่าวถึงต่อไปได้

         ปัจจุบันเราสามารถตรวจความผิดปกติของยีนทั้ง 2 ชนิดนี้ได้จากชิ้นเนื้อมะเร็งปอดที่เราทำการผ่าตัดหรือเจาะออกมาตรวจ และการมียาที่ใช้ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งปอดแบบจำเพาะกับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของยีน 2 ชนิดนี้โดยเป็นยารับประทาน คือ ยากลุ่มต้าน EGFR และยาต้าน ALK ซึ่งผลการตอบสนองต่อยาต้านมะเร็งทั้ง 2 กลุ่มนี้ดีมากถึง 60-70% และทำให้ระยะเวลาการรอดชีวิตสูงขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับการใช้ยาเคมีบำบัด ผลข้างเคียงของยานั้นก็จะต่างจากยาเคมีบำบัดที่ให้ทางเส้นเลือดดำ คือ ยาในกลุ่มนี้อาจจะทำให้เกิดผื่น ผิวแห้ง สิว ท้องเสีย การเจริญอาหารลดลงหรืออาการผิดปกติอื่นๆ ในระบบทางเดินอาหารหรือระบบอื่นๆ เกิดขึ้นได้ แต่โดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถรับยาและทนยากลุ่มนี้ได้ดี ผู้ป่วยบางรายมีการตอบสนองต่อยาดี

         กล่าวคือ ยาสามารถคุมมะเร็งปอดได้นานหลายปี แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายเกิดการดื้อยากลุ่มนี้ได้เมื่อใช้ไปในระยะเวลาหนึ่งซึ่งเมื่อมีการดื้อยาเกิดขึ้น ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดได้

         นอกจากนี้ ยังมียาอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นยา targeted drug เหมือนกัน แต่ช่วยยับยั้งการสร้างเส้นเลือดในก้อนเนื้อมะเร็ง ซึ่งยากลุ่มนี้เป็นยาฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำและจะใช้ร่วมกันกับยาเคมีบำบัดในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์และหมอมะเร็งทั่วโลกกำลังทำการศึกษาวิจัยถึงกลไกการดื้อยา และคิดค้นยาใหม่ๆ เพื่อใช้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อเกิดการดื้อยาขึ้น รวมถึงได้มีการค้นพบยีนกลายพันธุ์ชนิดต่างๆในมะเร็งปอด ซึ่งขณะนี้การศึกษาวิจัยต่างๆ ได้ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะมียากลุ่มใหม่ๆ อีกหลายกลุ่มที่สามารถใช้ในการรักษามะเร็งปอดอย่างแน่นอน

         ดังนั้น “มะเร็งปอด ไม่น่ากลัวอย่างที่คุณคิด” จริงๆ อย่างที่หมอกล่าวไว้ในตอนแรกกล่าวโดยสรุป คือ การรักษาหลักของมะเร็งปอดระยะลุกลาม ยังคงเป็นการให้ยาเคมีบำบัดส่วนยาต้านมะเร็งแบบตรงจุดนั้น ควรให้เฉพาะผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของยีนดังที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น