“ไม่สบายต้องไปหาหมอ ทำยังไงหนอให้ร่างกายแข็งแรง” ผศ. นพ.ภาวิทย์ เพียรวิจิตร รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเกริ่นนำตอนต้นคลิป ซึ่งคลิปสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ทางช่อง Rama Channel ได้มีโอกาสสัมภาษณ์บุรุษที่ได้รับสมญานามว่า “แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” รศ. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทมฯ คนปัจจุบัน เจาะประเด็นคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกับหมอรามาฯ
คุณหมอ: อาจารย์ตื่นมาทำอะไรตั้งแต่ตี 3 ครึ่งครับ
ชัชชาติ: มันตื่นเองครับหมอ แก่แล้วด้วย นอนสัก 4 ทุ่ม ตี 3 ครึ่งก็จะตื่น ปกติก็จะตั้งนาฬิกาปลุกประมาณตี 4 แต่มักจะตื่นตี 3 ครึ่งประจำ ตื่นมาก็เช็กอีเมลก่อน แล้วก็ออกกำลังกาย
คุณหมอ: อาจารย์ออกกำลังกายวิธีไหนครับ
ชัชชาติ: ผมวิ่งเป็นหลักเพราะมันง่าย ไม่ต้องนัดใคร แต่ก่อนไปวิ่งสวนลุม แต่มีช่วงหนึ่งที่เปิดตี 5 ไม่สอดคล้องกับกำหนดการของเรา บางทีเราต้องเสร็จก่อน 7 โมง ก็เลยเปลี่ยนเป็น City Run ซะเป็นส่วนใหญ่ ก็วิ่งออกทองหล่อ ใส่รองเท้าวิ่งออกไปริมคลอง แล้วขึ้นไปนานาบ้าง อโศกบ้าง แล้วแต่
คุณหมอ: อาจารย์วิ่งครั้งละกี่นาทีครับ
ชัชชาติ: ถ้าเป็น City Run ประมาณชั่วโมงครึ่ง ประมาณ 10 กิโลเมตร พยายามวิ่งทุกวัน แต่ไม่ได้เพซ (pace) เร็วมาก เพราะ City Run ก็มีคนมาขอถ่ายรูปบ้าง หยุดเดินขึ้นสะพานบ้าง
คุณหมอ: อาจารย์จับ Heart Rate ยังไง Speed อยู่ที่เท่าไหร่ครับ
ชัชชาติ: Heart Rate ของผมค่อนข้างต่ำ ถ้าเดินปกติจะอยู่ที่ประมาณ 58-60 bpm ถ้าวิ่งจะอยู่ที่ 130 bpm (ถือว่าอยู่ในโซน 3 burn fat)
คุณหมอ: อาจารย์วิ่งมากี่ปีแล้วครับ
ชัชชาติ: 20 ปีได้ละ ตั้งแต่สมัยเรียน วิ่งคลายเครียด สมัยเรียนวิ่งตอนเย็น ตั้งแต่อยู่จุฬาฯ วิ่งตามตรอกซอกซอย จนเป็นนิสัย ถ้าวันไหนไม่วิ่งเครียด หงุดหงิด แต่มีช่วงหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อนที่สนามเขียวเปิด ก็ไปขี่จักรยานวันเสาร์ อาทิตย์ ผมว่าการวิ่งกับการปั่นจักรยานคล้าย ๆ กัน มันเหมือน push control คือพอเราเข้าโหมด เราก็จะไปได้เรื่อย ๆ สมองเราไม่ต้องคิดอะไรมาก มันก็ไปของมันเรื่อย ๆ เหมือนการนั่งสมาธิ เวลาผมวิ่ง ผมจะรู้สึกสบายใจ บางทีมันก็มีไอเดียอะไรโผล่ขึ้นมาตอนวิ่ง อย่างตอนเช้า ๆ คิดโน่นคิดนี่ ได้ลำดับความคิดที่จะทำงานในวันนี้ด้วย วันนี้จะประชุมอะไร จะคิดจะพูดอะไร ผมว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ลำดับความคิดได้ดี เพราะว่าเราไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือ ไม่ต้องเจอใคร ได้อยู่กับตัวเองชั่วโมงครึ่ง หาเวลาอย่างนี้ในชีวิตยาก ซึ่งเรื่องพวกนี้ผู้บริหารรุ่นใหม่พูดถึงกันเยอะ ทั้งเรื่อง Mindfulness (ทำให้จิตใจนิ่ง) เรื่องการ Meditate (การทำสมาธิ)
คุณหมอ: ฝนตกแล้วอาจารย์ไปวิ่งไม่ได้ อาจารย์ออกกำลังกายวิธีไหนครับ
ชัชชาติ: ผมก็จะเข้าห้องยิม แต่ถ้าฝนตกไม่หนักผมก็วิ่งนะ มันก็เหมือนเราอาบน้ำ วิ่งเสร็จก็อาบน้ำ
คุณหมอ: อาจารย์คุมน้ำหนักไหมครับ
ชัชชาติ: แต่ก่อนผมอ้วนกว่านี้เยอะ แต่ผมทำ IF (IF หรือ Intermittent Fasting คือ วิธีการลดน้ำหนักโดยจำกัดช่วงเวลาการกินและเพิ่มช่วงเวลาที่ร่างกายต้องอดอาหาร) อยู่ช่วงหนึ่ง ประมาณ 2 เดือน ลดไปเกือบ 10 กิโลกรัม ใช้สูตร 8:16 (กินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และอดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง) คือ ทำตามลูก แต่ก่อนเคยไปเยี่ยมลูกที่อเมริกา เห็นเขาทำก็ทำตามเขา ก็ดีนะ สะดวกมากเลย ตอนนี้ก็พยายามทำอยู่
คุณหมอ: อาจารย์อดอาหารกี่ชั่วโมงครับ
ชัชชาติ: ช่วงหลังนี่ ผมก็จะกินตั้งแต่เช้าไปจนถึงบ่ายสอง คือ จะไม่กินตั้งแต่บ่ายสองไปจนถึงแปดโมงเช้าแต่พอทำงานอย่างนี้บางทีมันก็มีบ้าง แต่ช่วงที่เอาซีเรียสจะไม่กินเลย ผมว่ามันดีมากเลย คล้าย ๆ พระ ไม่ต้องกินข้าวเย็น ก่อนวิ่งก็ไม่กินนะ ผมเป็นคนไม่กินอะไรก่อนวิ่ง หลังวิ่งก็จะเว้นไปช่วงหนึ่ง เพราะมันเหนื่อย จะกินแต่น้ำหรือเกลือแร่บ้าง ตื่นเช้าผมก็ดื่มกาแฟดำแก้วหนึ่ง ออกกำลังกาย สาย ๆ 10 โมง อาจจะมีกินผลไม้นิดหน่อย แล้วไปกินหนักมื้อเที่ยง มื้อเย็นแทบไม่กินได้ก็ดีหรือไม่ก็เบา ๆ
คุณหมอ: ตอนกลางวันไม่ง่วงบ้างเหรอครับ ไม่เพลียเลยเหรอ
ชัชชาติ: ง่วง ! ผมก็หลับ ผมก็มีงีบตอนกลางวัน 15 นาที Power Nap (การนอนหลับช่วงเวลาสั้น ๆ โดยเฉพาะในช่วงบ่าย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ)
คุณหมอ: อาจารย์วิ่งมาเป็น 10 ปี มีปัญหาเรื่องข้อเข่าบ้างไหมครับ
ชัชชาติ: มีผ่าเข่าไปแล้ว ! หมอนรองกระดูกขาด ก็ไม่เป็นไร ผ่าแล้วก็วิ่งได้ พักไป 3 เดือนก็วิ่งต่อ ก็ไปเปลี่ยนรองเท้า รองเท้าเด้งไป บางทีรองเท้ารุ่นใหม่ ๆ มันเด้งเยอะ และบางทีเราก็วิ่งเร็วไป
คุณหมอ: อาจารย์ชอบใส่รองเท้าคนละข้าง สีไม่เหมือนกัน
ชัชชาติ: อันนี้เดิมทีมีคนเค้ามาขอแลก รองเท้ารุ่นนี้เบอร์ 13 มันหายาก ผมมีสีดำ น้องเขามีสีขาว ก็แลกคนละข้าง ก็แปลกดี มันก็เหมือนเราบริหารความแตกต่าง ชีวิตเรามันก็ต้องมีความแตกต่าง ต้องบริหารให้เดินไปด้วยกันได้
คุณหมอ: บางคนจะบอกว่าไม่มีเวลาไปออกกำลังกาย อาจารย์คิดยังไงกับประโยคนี้ อาจารย์ดูยุ่งมาก ยังมีเวลาออกกำลังกาย
ชัชชาติ: ผมพูดเรื่องนี้เยอะเลยนะ ชีวิตเราเหมือนโถแก้ว 24 ชั่วโมง เรามีหน้าที่ 3 อย่าง มี หิน กรวด ทราย ใส่ลงไป หินเป็นเรื่องสำคัญ กรวดเป็นเรื่องรองลงมา ทรายเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าบอกว่าสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่ ก็ต้องเอาหินไปจองพื้นที่ก่อน แต่บางคนบอกว่าสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่แต่สุดท้ายเอาทรายเอาเรื่องไร้สาระ เล่นไลน์ เล่นเฟซบุ๊กไร้สาระเต็มไปหมด สุดท้ายไม่มีเวลาสำหรับหินก้อนใหญ่ บางทีแล้วชีวิตมันขึ้นกับเรากำหนดนะ ถ้าเรากำหนดว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญก็ต้องเอาหินก้อนใหญ่ไปจองไว้ก่อน ถึงบอกว่าบางทีสุขภาพมันจำเป็นแต่ไม่เร่งด่วน แม้จะไม่ใช่ในนาทีนี้แต่ในระยะยาวมันจำเป็น ดังนั้นผมว่าต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี
คุณหมอ: อาจารย์มีงานเยอะมากในเวลากลางวันและออกกำลังกายด้วย อาจารย์แบ่ง Downtime Relax (การพักผ่อนในช่วงที่ไม่ค่อยยุ่ง) อย่างไร
ชัชชาติ: Relax สุดของผมก็คือ การออกกำลังกายนี่แหละ มันรู้สึกสบาย พอวิ่งเสร็จแล้วรู้สึก Fresh (สดชื่น) สมมติว่าเวลาเท่ากัน ตื่นมาทำงาน 1 ชั่วโมงกับไปวิ่ง 1 ชั่วโมง ผมว่ามันต่างกัน ถ้าไปวิ่งรู้สึกชีวิตดีขึ้น แต่ถ้าตื่นแล้วพยายามทำอะไร 1 ชั่วโมง เผลอ ๆ ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก เดินไปเดินมา เสียเวลาไปอีก 1 ชั่วโมง แต่การที่กัดฟันปุ๊บ 1 ชั่วโมงวิ่งเลย! มันได้เลย
คุณหมอ: นาฬิกาของอาจารย์ วันหนึ่งบอกว่าอาจารย์ขยับวันละกี่ก้าว
ชัชชาติ: ผมจะดูตอนวิ่งเป็นหลัก ประมาณหมื่นสี่ถึงหมื่นห้าก้าว
คุณหมอ: 1 กิโลเมตร อาจารย์ใช้เวลาวิ่งเท่าไหร่
ชัชชาติ: ผมว่าประมาณ pace 6 (pace คือ เวลาที่ใช้ในการวิ่ง 1 กิโลเมตรหรือ 1 ไมล์) แต่ตอนนี้ก็ดี มีเพื่อนมาวิ่งด้วยกันมากขึ้น ส่วนมากก็จะไปเจอกันที่สวนลุม หรือถ้าไปตรวจงาน วันเสาร์ก็จะนัดวิ่งไปตรวจงาน ก็สนุกดีได้ 2 in 1 เสาร์ที่แล้วก็วิ่งไปตรวจที่สามแยกไฟฉาย ขึ้นอุโมงค์ไป ก็นัดเพื่อนวิ่งกันไปตรวจ มีวิ่งข้ามเรือด้วยนะ วิ่งไปดูตรงแยก ณ ระนองก่อนแล้วก็วิ่งลงเรือไปท่าช้าง ข้ามไปแล้วก็แยกไฟฉายตรงศิริราช
คุณหมอ: ปกติอาจารย์ชอบกินอะไรครับ
ชัชชาติ: ผมก็ง่าย ๆ พวกข้าวแกง ปกติก็ชอบกินของหวาน ซึ่งบางทีมันก็อาจจะเป็นข้อเสีย พอเราวิ่งแล้วบางทีก็อยากกินน้ำแข็งไส ไม่ได้ซีเรียสมากเรื่องการกิน แต่ถ้าไม่ได้กินข้าวเย็นก็ดี ไม่ต้องคิดว่าจะกินอะไร รู้สึกเบา ผมรู้สึกว่าเวลาอดข้าวหรือการทำ IF แล้วทำให้ Concentrate (เพ่งความสนใจ) ได้ดีขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
คุณหมอ: บางคนที่หลังกินอาหารเยอะ ๆ หรือหวานมาก ๆ พอน้ำตาลเข้าไปในหัว มันเป็น Sugar Rush (เป็นความเชื่อว่า การกินอาหารหวาน โดยเฉพาะน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ อาจทำให้รู้สึกดีในช่วงแรก แต่ตามมาด้วยความง่วงและหมดแรง) ทำให้มันเบลอ
ชัชชาติ: ใช่ ๆ จำได้เลยช่วงที่แบบหิวข้าวแต่สมองทำงานได้ดี ผมว่าก็ไม่เลวเหมือนกัน
คุณหมอ: อาจารย์กินข้าววันละกี่มื้อครับ
ชัชชาติ: หลัก ๆ ก็มื้อเดียว เช้า ๆ ก็กินนิดหน่อย ถ้ากินข้าวเช้า ข้าวกลางวันก็จะเหลือน้อยลง เวลาผมวิ่งผมมักจะกินอะไรไม่ค่อยลง วิ่งเสร็จมันเหนื่อย ก็อาจจะกินน้ำเย็น ๆ น้ำแดง แล้วก็อาจจะไปกินข้าวกลางวันเลย ข้าวเย็นก็จะพยายามลดให้มากที่สุด
คุณหมอ: อาจารย์ควบคุมน้ำหนักอยู่ที่เท่าไหร่
ชัชชาติ: 89 kg ผมถือว่า overweight นะ เพราะผมสูง 180 cm. ผมก็มีวิดพื้นบ้าง
คุณหมอ: เวลาอาจารย์นั่งรถ มีขยับร่างกายบ้างไหม
ชัชชาติ: ผมหลับเลย ! เพราะเป็นเวลาที่มีค่าในการหลับ เพราะถือว่าเราขยับเยอะแล้ว ตื่นขึ้นมาเราก็ขยับเยอะแล้ว ถ้ามีจังหวะได้ก็หลับ และเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผม relax ชีวิตผมก็ง่าย ๆ เพราะผมไม่เที่ยวไม่อะไร เหล้าผมก็ไม่กิน พอเราตื่นเช้าเราก็จะนอนเร็ว เพราะฉะนั้น 4 ทุ่มเราก็จะนอนแล้ว
คุณหมอ: อาจารย์พยายามนอน 4 ทุ่มทุกวันไหมครับ
ชัชชาติ: 3 ทุ่มครึ่งแล้วก็หลับเลย หัวถึงหมอนไปเช้าแล้วก็ตื่นเอง
คุณหมอ: แล้วถ้าอาจารย์มีภารกิจตอนกลางคืน อย่างที่ไปดูน้ำท่วม อาจารย์ทำอย่างไร
ชัชชาติ: อ่อ อันนั้นขยับ ชีวิตเราก็ relax แต่มันก็ตื่นสายไม่ได้ พยายามจะตื่นให้ฟ้าสว่างก็ไม่ได้ แต่มันก็จะไปง่วงตอนบ่าย ก็ถือว่านาฬิกาชีวิตมันให้ตื่นเช้า
คุณหมอ: แล้วนอกจากวิ่งแล้ว อาจารย์ออกกำลังกายด้วยวิธีไหนบ้างครับ
ชัชชาติ: ผมก็มี Body Weight มี Planking มี Sit-up มีวิดพื้นอะไรเงี่ย ผมไม่ได้ตีกอล์ฟเพราะต้องใช้เวลานัดคน ไม่ได้เล่นกีฬาที่เป็นทีมสปอร์ตอะไร มีจักรยานบ้าง แต่ก่อนตอนไปเมืองนอกก็มีปั่นจักรยาน ลูกชายก็ปั่นจักรยานออนไลน์ อันนั้นก็ดีมากเลยนะ จักรยานกับวิ่งเป็นการออกกำลังกายง่าย ๆ ไม่ต้องนัดใคร
คุณหมอ: ปกติเวลาอาจารย์กินข้าว อาจารย์จัดหมวดหมู่อาหารไม๊
ชัชชาติ: มั่วเลย 55 ผมไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีนะ แต่ผมก็ชอบกินผักกินเนื้อมันก็ผสมกันได้ ก็มีข้าวนิดหนึ่ง ข้าวก็พยายามน้อย ๆ หน่อย ก็ไม่ได้ซีเรียสมากแบบต้องกินคลีน และปิดด้วยขนมของหวานนิดหน่อย
คุณหมอ: อาจารย์ไปตรวจสุขภาพบ้างไหมครับ
ชัชชาติ: ตรวจทุกปี น้ำตาลก็แตะ 98 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร) ส่วนไขมันดีสูง (HDL) และส่องกล้องด้วยเพื่อดูเรื่องมะเร็ง เพราะมีเพื่อนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิต ซึ่งเราไม่เคยรู้ ส่วนความดันปกติ แต่ผมว่า IF นี่เปลี่ยนชีวิตผมนะ มันทำให้มาเริ่มต้นใหม่ เพราะน้ำหนักผมเกือบร้อย แต่พอมาทำ IF 2 เดือนลดลงมา ก็ดีทุกอย่าง และก็ทำให้กินข้าวเย็นน้อย
คุณหมอ: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย
ชัชชาติ: ลูกชาย ! คือ ลูกชายเขาทำ IF ไง แล้วเราก็ไปอยู่ที่เค้าสองคน พอเค้าไม่กินเราก็ไม่อยากกินยั่วเค้า มันก็เลยทำให้ไปด้วยกันได้ครับ
คุณหมอ: อาจารย์จัดการกับความเครียดอย่างไร
ชัชชาติ: ผมว่าออกกำลังกายช่วยมากเลยนะ ไม่รู้สิ แต่หลัง ๆ พอได้ออกกำลังกายแล้วมันก็ดีขึ้น แล้วผมรู้สึกเหมือนกับว่าสติมันกลับมา มันตกตะกอนไง แล้วก็ต้องอย่าไปคิดอะไรมาก แล้วการออกกำลังกาย ยิ่งถ้าเป็น City Run นะ เห็นเลยว่าชีวิตมันมีหลายรูปแบบ มีทั้งคนที่มีชีวิตยากกว่าเราเยอะเลย เขาก็ยัง survive ได้ (เอาตัวรอด) บางทีเราก็อย่าไปเครียดมาก และผมว่าหลาย ๆ คน ที่เล่นโซเชียลมีเดีย บางทีเครียดเพราะว่าคอมเมนท์ก็ต้องปล่อยวาง
คุณหมอ: อาจารย์คิดอย่างไรกับ PM 2.5
ชัชชาติ: มันมาแน่ เพราะมันเป็น Seasonal (ตามฤดูกาล) เป็นหน้าที่ของกทม. ต้องดูแล ผมว่าอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเรา กทม. ก็ต้องเอาจริงเอาจัง ตอนนี้ก็เริ่มวางแผนระยะยาว มี 16 โครงการที่จะทำ เรื่องตรวจควันดำ รถ หาพื้นที่ปลอดภัย ต้องเริ่มทำ และตอนนี้ได้ร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว ทำคนเดียวไม่ได้ แต่ก็ต้องระวัง ยิ่งออกกำลังกาย ผลอาจจะไม่ใช่วันนี้ แต่เป็นในระยะยาว
คุณหมอ: ในชีวิตอาจารย์ เคยทำอะไรไร้สาระบ้างไหมครับ
ชัชชาติ: โอ้ย เยอะแยะเลย ! ก็นั่งเล่น นั่งคุยกับลูก มันก็มีบ้างแหละ เรื่องเฮฮาบ้าง บางทีผมก็มีความสุขกับการอ่านหนังสือและมันก็ได้ประโยชน์ด้วย คือ ผมชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ๆ การอ่านเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรา Relax ได้บางทีเบื่อ ๆ ก็นั่งดูทีวี 2 ชั่วโมงก็มี Netflix อะไรงี้
คุณหมอ: อาจารย์มีปัญหาด้านสายตาบ้างไหมครับ ทั้งประชุมทั้งอ่านหนังสือ ทั้งดูทีวี
ชัชชาติ: ต้องใส่แว่น เพราะสายตายาวหน่อยหนึ่ง ไม่เยอะเท่าไหร่แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านหนังสือ แต่การมองเห็นก็ยังชัดเจน
คุณหมอ: อาจารย์อยากจะฝากอะไรถึงบรรดาแฟนคลับหรือคนกทม. ไหมครับ เรื่องสุขภาพ
ชัชชาติ: ผมว่าสุขภาพสำคัญนะ อย่างที่บอก ถ้าเราดูแลตัวเองไม่ได้ เราดูแลคนที่เรารัก ดูแลเพื่อนร่วมงาน ดูแลคนในบริษัท ลูกน้องเราไม่ได้หรอก ผมว่าสุขภาพคือ หินก้อนใหญ่ เอาไปจองพื้นที่ในชีวิตก่อน แล้วที่เหลือมันก็จะดีตามไปเอง แต่ถ้าสุขภาพเราไม่ดี เรากลายเป็นภาระของคนอื่น หลาย ๆ อย่างที่เราอยากจะทำ มันทำไม่ได้ ผมขอฝากว่าสุขภาพดีไม่มีขาย ผมว่าทุกคนรู้ มันต้องเริ่มจากตัวเราเอง ดูแลตัวเราเอง และทำไปเถอะ ก้าวแรกมันอาจจะยากหน่อยแต่สุดท้ายแล้วเราจะติด พอติดแล้วมันจะง่ายเลย คราวนี้ไม่ออกกำลังกายจะยากกว่าละ มันขึ้นอยู่กับก้าวแรกครับ
คุณหมอ: วันนี้ต้องขอบพระคุณอาจารย์มากนะครับ ที่อุตส่าห์สละเวลาให้กับทาง Rama Channel ของเรา
ชัชชาติ: ยินดีครับ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ แล้วก็ไปเจอกันตามสวน สวนลุม สวนเบญจกิติ ถ้าไปเจอก็ทักทายกัน ไปวิ่งด้วยกัน
คุณหมอ: ผมว่าแฟนคลับของเรา ผู้ชมรายการเรา พอเห็นอาจารย์ที่แม้จะยุ่งขนาดนี้แต่ยังมีเวลาออกกำลังกาย น่าจะมีแรงบันดาลใจขึ้นมาออกกำลังกายบ้าง
ชัชชาติ: ไม่น่าเชื่อนะหมอ ตอนที่ผมไลฟ์สดตอนที่ออกกำลังกาย แล้วผมก็พูดอะไรอย่างนี้ แล้วก็มีน้องบางคนที่เป็นโรคซึมเศร้า เค้าออกมาวิ่งกับเรา ผมว่าแค่น้องคนนี้คนเดียว มันก็คุ้มที่ผมจะไลฟ์ให้คนเห็นแล้ว หลายคนที่คอมเมนท์มาบอกว่าไม่อยากออกจากบ้าน แต่พอเห็นเราออกมาใช้ชีวิตแล้วก็มีกำลังใจที่อยากจะออกมา ผมว่าไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพหรอก แต่มันเป็นเรื่องของสุขภาพจิตด้วย ผมว่าเราต้องอยู่ด้วยความหวังแล้วก็ช่วยกัน