ทําอย่างไรให้ไร้ “ฝ้า”
คุณผู้หญิงหลายๆ คน คงจะรู้สึกกังวลกับปัญหาต่างๆ บนใบหน้ามากเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องสิว กระ รอยดํา รวมถึงปัญหาฝ้าบนใบหน้า คอลัมน์ Beauty-Full ฉบับนี้ มาทําความเข้าใจกับ “ฝ้า” กันเถอะ
ลักษณะของฝ้า
ฝ้า มีลักษณะคือเป็นรอยสีน้ำตาลดําที่มักเกิดบนใบหน้า บริเวณแก้ม หน้าผาก จมูก บริเวณเหนือริมฝีปากและคาง บางครั้งฝ้าอาจลามมาบริเวณคอและปลายแขนด้านนอกที่ถูกแสงแดด ปัญหาของฝ้ามักจะพบบ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยมักพบในหญิงสาวถึงวัยกลางคน
สาเหตุการเกิดฝ้า
ฝ้าเกิดจากการเพิ่มจํานวนของเซลล์ที่สร้างเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ซึ่งนอกจากจะมีจํานวนเพิ่มขึ้นแล้ว เซลล์เหล่านี้ยังขยันทํางาน สร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จึงก่อให้เกิดปื้นน้ำตาล-ดําขึ้นปัจจัยสําคัญที่ทําให้เกิดฝ้า
1) แสงแดด เป็นปัจจัยสําคัญที่สุดในการเกิดฝ้า โดยแสงอัลตร้าไวโอเลต ชนิดเอ ชนิดบี และแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะสามารถกระตุ้นให้ฝ้าดําคล้ำขึ้น หรือกลับเป็นซ้ำอยู่ได้บ่อยๆ
2) ฮอร์โมน เช่น ในผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่รับประทานยาคุมกําเนิดจะมีโอกาสเกิดฝ้าได้มาก ผู้ที่เป็นฝ้าอาจสังเกตว่าหน้าคล้ำลงในระยะใกล้มีประจําเดือน เนื่องจากผลของฮอร์โมนนั่นเอง
3) สารเคมีบางอย่าง เช่น สี น้ำหอมที่มีอยู่ในเครื่องสําอาง
4) ความเครียด รวมทั้งการอดนอน
วิธีการดูแลเมื่อเป็นฝ้า
วิธีการดูแลตนเมื่อเป็นฝ้า ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดฝ้า เช่น เลี่ยงการรับประทานยาคุมกําเนิดและเครื่องสําอางที่สงสัย ที่สําคัญคือการหลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะในช่วง 10.00 – 15.00 น. หากจําเป็นต้องสัมผัสกับแดด ควรป้องกันผิวด้วยหมวกปีกกว้าง กางร่ม ร่วมกับการใช้ยากันแดดช่วย
การรักษาฝ้า
ในด้านของการรักษาฝ้า ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการรักษาฝ้าให้หายขาดเป็นเรื่องยาก และฝ้าเมื่อเป็นแล้วมักจะเป็นๆ หายๆ ยาที่รักษาฝ้าเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีที่ได้ผล 100% หรือทําให้ฝ้าหายขาด และมักจะต้องใช้ยาหลายๆ ชนิดร่วมกัน
ตัวยาที่ใช้รักษา
- ยาที่มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสี โดยไม่ทําลายเซลล์สร้างเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ ยาทาสเตียรอยด์ ซึ่งยาที่กล่าวมานั้น สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่อนุญาตให้ผสมและจําหน่ายอยู่ในเครื่องสําอางทั่วไป เพราะถือว่าเป็นยาที่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงสูง เช่น เกิดอาการระคายผิว หน้าแดง ไวต่อแสงแดด หน้าบาง สิวขึ้น ขนขึ้น หรือเส้นเลือดฝอยขึ้น จึงควรใช้ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
- สารที่มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีในหลอดทดลอง ที่มีฤทธิ์อ่อนกว่ายาในกลุ่มเเรก แต่ผลข้างเคียงน้อยกว่า ซึ่งมีผสมอยู่ในเครื่องสําาอางต่างๆ เช่น สารกรดโคจิค ไลโคไรซ์ อาร์บูติน และวิตามินซี เป็นต้น
- สารอื่นๆ เช่น กรดอะซีเลอิก กลุ่มกรดไฮดรอกซี่ ทั้งเอเอชเอ และบีเอชเอ การทําทรีทเมนต์ ใช้ร่วมในการรักษาฝ้าได้ แต่ต้องระวังเพราะมีความเป็นกรด จึงอาจระคายผิว และอาจทําให้แสบคัน เมื่อใช้ความเข้มข้นสูงได้
คําแนะนํา และการรักษา
คําแนะนําในการรักษาฝ้า ไม่ควรซื้อยาฝ้าใช้เอง เพราะอาจทําให้เกิดผลข้างเคียงสูงได้ หากใช้ไม่ระมัดระวังและในระหว่างรักษาฝ้า ควรพบแพทย์เป็นระยะ ตามคําแนะนํา เพื่อปรับยาให้เหมาะสม นอกจากนี้ไม่ควรหยุดทายาฝ้าทันที เพราะฝ้าอาจกลับคล้ำขึ้นอีกได้ ควรให้แพทย์แนะนําการปรับหรือลดยาให้เหมาะสม
แนวทางการรักษาที่ดีที่สุดคือ การมาพบแพทย์ผิวหนัง และควรมาพบแพทย์ผิวหนังตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพราะการรักษาต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่องและติดตาม