
"โรคสมาธิสั้น" เรียกย่อๆว่า ADHD มาจากชื่อในภาษาอังกฤษ “Attention deficit/ hyperactivity disorder”
เด็กวัยเรียนทั่วโลกพบว่าเป็นโรคสมาธิสั้นประมาณ 7 % หมายความว่าในเด็กวัยเรียน 100 คน จะพบเป็นโรคสมาธิสั้น 7 คน ถ้าในห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ 40 – 50 คน ก็น่าจะมีเด็กสมาธิสั้น 2 – 3 คน
อาการของเด็กสมาธิสั้นมีอะไรบ้าง ?
อาการหลักมี 3 ด้าน คือ
อยู่ไม่นิ่ง ซน
- ยุกยิก
- กระสับกระส่าย
- มืออยู่ไม่สุข
- อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องขยับตลอด
- นั่งไม่ติดที่ ชอบเดินไปมา
- ชอบวิ่ง ไม่เดิน
- ชอบปีนป่าย เล่นผาดโผน
- เล่นแรง เล่นได้ไม่เหนื่อย
- พูดเก่ง พูดเร็ว
- พูดไม่หยุด พูดไปเรื่อยๆ
หุนหันพลันแล่น
- รอคอยไม่ได้
- คิดอะไรจะทำทันที เหมือนรถไม่มีเบรค
- พูดสวน
- พูดทะลุกลางปล้อง
- ตอบก่อนผู้ถามจะถามจบ
- ถ้าต้องทำอะไรที่ช้าๆหรือนานๆ จะไม่อยากทำหรือไม่อดทนพอที่จะทำสิ่งนั้น
ไม่มีสมาธิ
- ทำงานตกหล่น สับเพร่า
- เหม่อลอย
- ขี้ลืม
- ทำของหายบ่อยๆ
- ทำอะไรนานๆไม่ได้
- เปลี่ยนกิจกรรมบ่อยๆ
- ทำงานไม่เสร็จ
- วอกแวกง่าย อะไรผ่านก็หันไปมอง
- เหมือนไม่ได้ฟัง เวลามีคนพูดด้วย
โรคสมาธิสั้นเกิดจากอะไร?
สมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมเรื่องการสมาธิจดจ่อ การยับยั้งชั่งใจและการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำงานน้อยกว่าเด็กปกติ
เพราะอะไรสมองส่วนนี้ถึงทำงานน้อยกว่าคนอื่น?
เพราะสารสื่อประสาทหลั่งออกมาน้อยกว่าคนปกติ ถ้าเปรียบสมองเป็นรถ สารสื่อประสาทก็เหมือนกับน้ำมัน ถ้าไม่มีน้ำมัน รถก็วิ่งไม่ได้
เพราะอะไรสารสื่อประสาทถึงได้หลั่งออกมาน้อยกว่าคนปกติ?
ปัจจัยทางพันธุกรรม
ถ้ามีพ่อหรือแม่ 1 คนเป็นโรคสมาธิสั้น พบว่าลูกจะเป็นโรคนี้ร้อยละ 57
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
- มารดาสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติดช่วงตั้งครรภ์
- น้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์
- ได้รับพิษสารตะกั่ว
โรคที่มักพบร่วมกับโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้นบางครั้งไม่ได้มาเดี่ยวๆ แต่มีโรคอื่นที่มักพบร่วมกันด้วย เช่น
- โรคการเรียนรู้บกพร่อง หรือ learning disorder (LD) พบร่วมกับโรคสมาธิสั้นได้ถึง 30 %
- ปัญหาพฤติกรรมดื้อต่อต้าน ไม่ทำตามสั่ง
- โรคกล้ามเนื้อกระตุก (Tics)
- โรควิตกกังวล
เด็กที่มีโรค LD ร่วมด้วยจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
- เขียนหนังสือไม่ถูก สับสนเวลาสะกดคำ
- อ่านหนังสือไม่คล่อง อ่านตะกุกตะกักหรืออ่านข้ามคำที่อ่านไม่ออกไปเลย
- ไม่เข้าใจการคิดคำนวณเลข สับสนเวลาต้องคิดคำนวณเลข
ถ้าเป็นสมาธิสั้นแล้วจะรักษาอย่างไร?
การช่วยเหลือดูแลเด็กที่เป็นสมาธิสั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ได้แก่ ตัวเด็ก ผู้ปกครองและครูที่ดูแลเด็กที่โรงเรียน นอกจากนั้นการรักษาจำเป็นต้องใช้หลายวิธีผสมผสานกันในการดูแลเพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด
การรักษาด้วยยา
ยาเพิ่มสมาธิ มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงมากโดยเฉพาะยาในกลุ่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เช่น Methylphenidate จะสามารถลดอาการทั้ง 3 ด้านได้ โดยตัวยาเข้าไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทเพิ่มมากขึ้น
การปรับพฤติกรรม
ทั้งผู้ปกครองและครูสามารถใช้การปรับพฤติกรรมช่วยเด็กได้ดังนี้
ก่อนเริ่มทำกิจกรรม
- จัดสถานที่ให้เหมาะสม เช่น ในห้องเรียนไม่ควรนั่งเรียนใกล้หน้าต่าง ประตูหรือเพื่อนที่มักจะชวนคุย เพราะจะทำให้วอกแวกได้ง่าย ถ้าเป็นไปได้ควรให้นั่งแถวหน้าใกล้กระดาน หรือใกล้ๆครูผู้สอน ที่บ้านควรปิดโทรทัศน์ขณะทำการบ้าน จัดโต๊ะที่ทำการบ้านให้อยู่ในห้องที่สงบหรือหันหน้าเข้ากำแพง
- การตั้งกฎกติกาและสื่อสารกับเด็กให้ชัดเจน เช่น ทำการบ้านให้เสร็จก่อนจึงจะสามารถไปเล่นได้ ถ้าทำการบ้านเลขเสร็จ 10 ข้อแล้วจะได้พักดูการ์ตูน 1 ตอน เป็นต้น
กิจกรรม
- ควรแบ่งขั้นตอนในการทำให้งานแต่ละอย่างออกเป็นขั้นย่อยๆแล้วให้เด็กค่อยๆทำไปที่ละขั้น เช่น เด็กปกติสามารถทำการบ้าน 20 ข้อเสร็จได้รวดเดียว แต่เด็กสมาธิสั้นอาจต้องแบ่งเป็นทำครั้งละ 10 ข้อ แล้วไปพักเปลี่ยนอิริยาบทก่อน จึงกลับมาทำต่ออีก 10 ข้อเป็นต้น
- การให้สัญญาณเตือน เมื่อเด็กวอกแวกหรือเสียสมาธิ อาจต้องช่วยด้วยการส่งสัญญาณเตือน เช่น การเรียกชื่อ หรือเรียกให้เด็กเปลี่ยนกิจกรรม เช่น ในห้องเรียนอาจให้ออกมาช่วยครูลบกระดาน หรือ แจกสมุด แล้วจึงให้กลับไปทำกิจกรรมเดิมต่อ ข้อควรระมัดระวังคือจะต้องไม่แสดงท่าทีไม่พอใจหรือรำคาญในการเตือน
หลังการทำกิจกรรม
- การให้รางวัลหรือการชมเชย เมื่อทำงานสำเร็จควรให้การชมเชย เพื่อเป็นแรงเสริมทำให้เด็กอยากประสบความสำเร็จในการทำสิ่งนั้นอีก หรืออาจให้รางวัลเป็นสัญลักษณ์ของการชื่นชม เช่น ให้stickerติดสมุดเมื่อทำการบ้านเสร็จ การให้การชมเชยถือเป็นส่วนสำคัญในการทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
ลูกของคุณเป็นสมาธิสั้นหรือไม่ ?
อาการสมาธิสั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นในการวินิจฉัยว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ จำเป็นต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกายในบางกรณี เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจทำให้มีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นได้
ดังนั้นหากสงสัยว่าลูกจะเป็นโรคสมาธิสั้น ควรพาเด็กมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป
บทความโดย: พญ. นิดา ลิ้มสุวรรณ