บทนำและคำนิยาม
ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียน (school refusal) หมายถึง การที่เด็กหรือ วัยรุ่นไม่เต็มใจไปโรงเรียน อันสืบเนื่องมาจากความวิตกกังวลภายใน จิตใจ แสดงออกเป็นพฤติกรรมได้หลายรูปแบบ เช่น ร้องโวยวายไม่ อยากไปโรงเรียน อ้างว่าไม่สบายไม่ยอมลุกจากเตียงนอนในตอนเช้า
ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนแตกต่างจากการหนีเรียน (truancy) ซึ่ง หมายถึงการที่เด็กหรือวัยรุ่นขาดเรียน โดยเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการเข้า เรียน มักจะพยายามปิดบังพฤติกรรมดังกล่าว และไม่มีความเกี่ยวข้อง กับความวิตกกังวลภายในจิตใจ ส่วนเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะไม่ยอมไป โรงเรียนมักจะแสดงพฤติกรรมต่อต้านไม่ยอมไปโรงเรียนให้เห็นอย่าง เปิดเผย พบว่าการหนีเรียนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพฤติกรรมต่อ ต้านสังคมอื่นๆ (antisocial behaviors) เช่น การโกหก การกลั่นแกล้งผู้ อื่น
นอกจากนี้ยังมีคำว่า โรคกลัวโรงเรียน (school phobia) เป็นคำที่ ถูกใช้มาก่อนคำว่า ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียน (school refusal) โดยทั่วไป สามารถใช้แทนกันได้ ปัจจุบันความนิยมในการใช้คำว่าโรคกลัว โรงเรียนลดลง แต่บางครั้งอาจถูกใช้เพื่อต้องการเน้นอารมณ์กลัวที่เกิด ขึ้นในเด็กและวันรุ่นกลุ่มนี้ หรือ หมายถึงการที่เด็กมีความกลัวที่เจาะจง ต่อสถานการณ์บางอย่างที่โรงเรียน
แม้ตามระบบการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช DSM – IV ค.ศ. 2000 ไม่ได้ จัดภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนเป็นโรคทางจิตเวช แต่ในทางเวชปฏิบัติเป็น ที่ทราบกันดีว่าภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนเป็นอาการเร่งด่วนทางจิตเวช เด็กและวัยรุ่นที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากการนำ เด็กกลับสู่โรงเรียนจะยิ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่หยุดเรียน ซึ่งในผู้ป่วยบางรายการหยุดเรียนอาจยาวนานเป็นปี สามารถก่อให้เกิด ผลกระทบต่อเด็กและครอบครัวทั้งด้านการศึกษาและความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างมาก
ประวัติศาสตร์ความเป็นมา
ในปีค.ศ. 1932 อิสรา ที บรอควิน (Isra T. Broadwin) ได้กล่าวถึง ความวิตกกังวลชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมขาดเรียน ภายหลังได้ มีการใช้คำว่า โรคกลัวโรงเรียน (school phobia) มาเรียกผู้ป่วยในกลุ่มนี้ ต่อมาในปีค.ศ.1996 เอียน เบิร์ก (Ian Berg) ได้ศึกษาผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น ที่มีภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนพบว่าผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักจะมีลักษณะดังต่อ ไปนี้ 1.) มีปัญหาในการไปโรงเรียนจนส่งผลให้มีการขาดเรียนเป็นระยะ เวลานาน 2.) มีปฏิกริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง เมื่อจะต้องไปโรงเรียน เช่น หวาดกลัวอย่างมาก อาละวาด (temper tantrums) ร้องไห้ ก้าวร้าว รวม ถึงมีอาการทางกายที่ไม่สามารถอธิบายได้ เช่น ปวดหัว ปวดท้อง 3.) ใน ช่วงเวลาเรียนเด็กมักจะอยู่ที่บ้านกับผู้ปกครองและไม่ได้พยายามจะ ปกปิดเรื่องการไม่ไปโรงเรียนจากการรับรู้ของผู้ปกครอง 4.) ไม่มี พฤติกรรมต่อต้านสังคม (antisocial behaviors) เช่น โกหก ลักขโมย รังแกข่มขู่ผู้อื่น ต่อมาลักษณะเหล่านี้ได้ถูกเรียกว่า เกณฑ์การวินิจฉัยของ เบิร์ก (Berg’s criteria)
ปัจจุบันพบว่าภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนอาจเกิดร่วมกับโรคทาง จิตเวชได้หลายโรค เช่น โรควิตกกังวลเกี่ยวกับการแยกจาก (separation anxiety disorder) โรคบกพร่องด้านการเรียน (learning disorder) และ เป็นอาการที่นำผู้ป่วยและครอบครัวมาสู่การรักษามากขึ้น
ระบาดวิทยา
ในเด็กวัยเรียนพบมีภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนประมาณร้อยละ 1 ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการส่งตัวมารักษาพบได้ประมาณร้อยละ 5 เกิดกับเด็กและวัยรุ่นเพศชายเท่ากับเพศหญิง พบว่ามีช่วงอายุที่เกิด ภาวะนี้ได้บ่อย 2 ช่วงอายุคือ ช่วงอายุ 5-‐6 ปีและช่วงอายุ 10-‐11 ปี
ลักษณะอาการ
ความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนแสดงออก มาเป็นอาการได้หลายรูปแบบ ทั้งด้านพฤติกรรม ด้านความคิดและด้าน สรีรวิทยา (physiological symptoms) ดังต่อไปนี้
-
อาการด้านพฤติกรรม มีความรุนแรงได้ตั้งแต่แสดงว่าไม่อยากไป โรงเรียนเพียงเล็กน้อย เช่น พูดงอแงว่าไม่อยากไปโรงเรียน ขอร้องให้ หยุดรียน ไปจนกระทั่งถึงก้าวร้าวอาละวาดรุนแรง ต่อต้านขัดขืนไม่ยอม ลุกจากเตียง ไม่ยอมออกจากบ้านไปโรงเรียน ร้องไห้ด่าทอ ทำร้าย ร่างกายผู้ปกครอง ทำให้เกิดผลลัพท์ได้แตกต่างกันตั้งแต่สามารถไป โรงเรียนได้ทุกวัน แต่ผู้ปกครองต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติใน การนำเด็กไปโรงเรียน จนกระทั่งถึงขาดเรียนต่อเนื่องยาวนานเป็นปี บางรายอาจจะสามารถไปโรงเรียนได้ในตอนเช้า แต่ไม่สามารถอยู่เรียน ได้ครบทั้งวัน เช่น โทรศัพท์มาวิงวอนให้ผู้ปกครองมารับกลับบ้านก่อน เวลาเลิกเรียน
-
อาการด้านความคิด ความคิดวิตกกังวลเกี่ยวกับการไปโรงเรียน อาจเริ่มมีได้ตั้งแต่ช่วงกลางคืนของวันก่อนที่จะต้องไปโรงเรียน แสดงออกเป็นคำพูดในเชิงไม่อยากไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น แต่ในบาง รายเมื่อผู้ปกครองถามถึงการไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้นก็ยืนยันว่าจะไป แต่ พอถึงตอนเช้าขัดขืนไม่ยอมไปโรงเรียน บางรายอาจคิดวิตกกังวลจน กระสับกระส่ายหรือนอนไม่หลับ
- อาการด้านสรีรวิทยา ความวิตกกังวลอาจแสดงออกเป็นอาการ ทางกายต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดหัว วิงเวียน เหงื่อออก มาก ท้องเสียถ่ายเหลว อาการเหล่านี้มักจะเป็นในช่วงเช้าที่จะต้องไป โรงเรียน เมื่อได้หยุดเรียนอยู่ที่บ้านมักพบว่าอาการเหล่าจะดีขึ้นหรือ หายไปในตอนสายๆ หรือตอนบ่าย และในวันที่ไม่มีการเรียน เช่น วัด หยุดสุดสัปดาห์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็จะไม่พบอาการเหล่านี้ ผู้ป่วย สามารถเล่นและทำกิจกรรมที่บ้านได้ตามปกติ
ปัจจัยเสี่ยงและโรคทางจิตเวชที่พบร่วม
ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนมีความสัมพันธ์กับโรคทางจิตเวชหลาย โรคและพบร่วมกันได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคในกลุ่มโรควิตกกังวล จากการศึกษาของ เฮเลน แอล เอกเกอร์ (Helen L. Egger) และคณะ ใน ปีค.ศ. 2003 พบว่าในเด็กและวัยรุ่นอายุ 9-‐16 ปีที่มีภาวะไม่ยอมไป โรงเรียนประมาณร้อยละ 25 จะมีโรคทางจิตเวชอย่างน้อย 1 โรคเปรียบ เทียบกับเด็กและวัยรุ่นที่ไม่มีภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนพบมีโรคทาง จิตเวชเพียงร้อยละ 7
โรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยคือ โรควิตกกังวลเกี่ยวกับการแยกจาก (separation anxiety disorder) โรควิตกกังวลไปทั่ว (generalized anxiety disorder) โรคกลัวแบบจำเพาะ (specific phobia) โรคกลัวสังคม (social phobia) โรคซึมเศร้า (depressive disorder) โรคบกพร่องด้านการเรียน (learning disorder)
นอกจากนี้พบว่าครอบครัวของเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะไม่ยอมไป โรงเรียนมักจะมีการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว (family functioning) ที่ บกพร่องไป เช่น มีลักษณะใกล้ชิดกันมากเกินไป (enmeshed family) มี ความขัดแย้งในครอบครัว (conflictive family) หรือ เป็นครอบครัวที่ใช้ การเลี้ยงดูแบบยอมตามมากเกินไป (overindulgence) รวมถึงพบว่าผู้ ปกครองของเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนมีอัตราการป่วย เป็นโรคทางจิตเวชค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคในกลุ่มวิตกกังวล และซึมเศร้า
ในบางรายงานการศึกษาพบว่าเหตุการณ์ตึงเครียดบางอย่างอาจ เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนได้ เช่น การขัดแย้ง กับเพื่อน ความยากลำบากในการเรียน การย้ายโรงเรียน ความเจ็บป่วย ทางกาย การทะเลาะกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว
การดูแลรักษา
เนื่องจากภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนมักเกิดจากหลายสาเหตุ หลาย ปัจจัย การรักษาที่เหมาะสมจึงต้องใช้หลายวิธีผสมผสานกัน (multimodal treatment) เน้นแก้ไขสาเหตุ ร่วมกับการรักษาด้วยวิธี พฤติกรรมบำบัด (behavior therapy) หรือ การบำบัดพฤติกรรมและการ รู้คิด (cognitive behavioral therapy) นอกจากนี้การรักษาโรคทางจิตเวช ที่มีร่วมด้วยอย่างเต็มที่และการประสานงานทำความเข้าใจกับทาง โรงเรียนก็ล้วนมีความสำคัญในการดูแลรักษาเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะไม่ ยอมไปโรงเรียน
ในกรณีที่ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนเกิดขึ้นแบบฉับพลัน การนำเด็ก และวัยรุ่นกลับเข้าสู่โรงเรียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ถือเป็นหัวใจ สำคัญในการรักษาภาวะนี้ แต่หากเป็นกรณีที่ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียน เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานเรื้อรัง การประเมินและวางแผนการรักษาอย่าง ละเอียดก่อนการนำเด็กและวัยรุ่นกลับเข้าสู่โรงเรียนจะมีความสำคัญ อย่างยิ่ง
บรรณานุกรม
1. Berg I. School refusal and truancy. Arch Dis Child1997 Feb;76(2): 90-‐1.
2. Bernstein GA. VA. Separa2on anxiety disorder and school refusal. In: Dulcan MK, editor. Dulcan’s Textbook of Child and Adolescent Psychiatry. 1 ed. Arlington: American Psychiatric Publishing; 2010. p. 325 -‐ 38.
3. Egger HL, Costello EJ, Angold A. School refusal and psychiatric disorders: a community study. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry2003 Jul;42(7):797-‐807.
4. Ellioa JG. School refusal: issues of conceptualisa2on, assessment, and treatment. J Child Psychol Psychiatry1999 Oct;40(7): 1001-‐12.
5. Heyne D, King NJ, Tonge BJ, Cooper H. School refusal: epidemiology and management. Paediatr Drugs2001;3(10):719-‐32.
6. Kearney CA. School absenteeism and school refusal behavior in youth: a contemporary review. Clin Psychol Rev2008 Mar;28(3): 451-‐71.
7. King NJ, Bernstein GA. School refusal in children and adolescents: a review of the past 10 years. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry2001 Feb;40(2):197-‐205.
8. Prabhuswamy M, Srinath S, Girimaji S, Seshadri S. Outcome of children with school refusal. Indian J Pediatr2007 Apr;74(4):375-‐9.
บทความโดย: พญ.นิดา ลิ้มสุวรรณ