ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) คือ ยาแก้ปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบในกลุ่ม NSAIDs ที่มีประสิทธิภาพ แต่การกินยาอย่างปลอดภัยที่สุดคือ ต้องกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ในปริมาณน้อยที่สุดที่สามารถควบคุมอาการได้ และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองกระเพาะอาหารและผลข้างเคียงต่อไตและหัวใจ
สรุปข้อมูลสำคัญ
- กลุ่มยา : ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory Drugs หรือ NSAIDs)
- ข้อบ่งใช้ทั่วไป : ลดไข้, บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง, ลดการอักเสบ เช่น ปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดประจำเดือน ปวดกล้ามเนื้อ
- รูปแบบ : ยาเม็ด, ยาน้ำแขวนตะกอนสำหรับเด็ก, ยาเจลสำหรับใช้ภายนอก
- ข้อควรระวังหลัก : อาจระคายเคืองทางเดินอาหาร, เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด, มีผลต่อการทำงานของไต
- เอกสารที่ควรอ่าน : เอกสารกำกับยาภายในบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
- อัปเดตล่าสุด : 16 ตุลาคม 2568
- แหล่งอ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ยาไอบูโพรเฟน ช่วยแก้ปวดอะไรบ้าง
ยาไอบูโพรเฟน คือ ยาที่มีประโยชน์หลากหลาย เนื่องจากมีฤทธิ์สำคัญ 3 ประการคือ ลดไข้ แก้ปวด และต้านการอักเสบ โดยกลไกหลักของยาคือการเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ที่ชื่อว่า Cyclooxygenase (COX) ซึ่งมีหน้าที่สร้างสาร “โพรสตาแกลนดิน” (Prostaglandins) สารชนิดนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และเป็นไข้ เมื่อสารนี้ลดลง อาการต่าง ๆ จึงบรรเทาลงตามไปด้วย
ด้วยคุณสมบัตินี้ ไอบูโพรเฟนจึงนิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
- อาการปวดทั่วไป เช่น ปวดศีรษะ ปวดไมเกรนที่ไม่รุนแรง
- อาการปวดประจำเดือน ไอบูโพรเฟนมีประสิทธิภาพดีในการลดอาการปวดบีบของมดลูก เพราะสามารถลดการสร้างโพรสตาแกลนดินในเยื่อบุมดลูกได้โดยตรง
- อาการปวดฟัน ช่วยบรรเทาอาการปวดจากการอักเสบของเหงือกหรือหลังการทำฟัน
- อาการปวดจากข้ออักเสบ เช่น ข้อเสื่อม โรครูมาตอยด์ ช่วยลดอาการปวดบวมและอักเสบของข้อต่อ
- อาการปวดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น จากการเล่นกีฬา การทำงาน หรืออุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
- อาการปวดหลังการผ่าตัดเล็ก ช่วยควบคุมอาการปวดและอักเสบหลังการผ่าตัด
- ใช้เพื่อลดไข้ สามารถใช้เป็นยาลดไข้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
ควรกินยาไอบูโพรเฟนปริมาณเท่าใด
ปริมาณการใช้ยาไอบูโพรเฟนที่เหมาะสมและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้ผลการรักษาสูงสุดและลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด หลักการสำคัญคือ “ใช้ยาในขนาดต่ำที่สุดที่ยังคงให้ผลในการรักษา และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จำเป็น”
- สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป
- เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดไข้ แนะนำให้รับประทานครั้งละ 200 – 400 มิลลิกรัม สามารถทานซ้ำได้ ทุก ๆ 4 – 6 ชั่วโมง ถ้ายังมีอาการ และควรรับประทานหลังอาหารทันที
- ปริมาณยาสูงสุด ไม่ควรรับประทานเกิน 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน หากซื้อยารับประทานเอง แต่หากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ปริมาณสูงสุดอาจปรับได้ถึง 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน ขึ้นอยู่กับโรคและความรุนแรง
- ข้อควรจำ ควรกินยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันทีเสมอเพื่อป้องกันการกัดกระเพาะ
- สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- ต้องคำนวณตามน้ำหนักตัว ปริมาณยาที่เหมาะสมสำหรับเด็กจะคิดตามน้ำหนักตัว โดยทั่วไปคือ 5 – 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 6 – 8 ชั่วโมง ทานเท่าที่จำเป็น
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร การใช้ยาในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอเพื่อความปลอดภัยและควรใช้ยาในรูปแบบยาน้ำแขวนตะกอนเพื่อให้ได้ปริมาณที่แม่นยำ
การใช้ยาเกินขนาดที่แนะนำอาจไม่ช่วยให้อาการปวดดีขึ้น แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้โดยเฉพาะที่กระเพาะและไต
กินยาไอบูโพรเฟนตอนท้องว่างได้ไหม
คำตอบสั้น ๆ และชัดเจนคือ “ไม่แนะนำอย่างยิ่ง” การกินยาไอบูโพรเฟนตอนท้องว่างเป็นหนึ่งในข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เหตุผลหลักเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลไกการออกฤทธิ์ของยา
- กลไกการปกป้องกระเพาะอาหาร ในภาวะปกติ ร่างกายจะสร้างสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นการสร้างเมือกเคลือบผนังกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะมาย่อยทำลายเนื้อเยื่อ
- ผลของไอบูโพรเฟน ยาไอบูโพรเฟนออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างสารโพรสตาแกลนดินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบ หรือชนิดที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหาร
- สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกินตอนท้องว่าง เมื่อไม่มีอาหารเป็นตัวกั้นกลาง และปริมาณโพรสตาแกลนดินที่ปกป้องกระเพาะลดลง กรดในกระเพาะจึงสามารถสัมผัสกับผนังกระเพาะได้โดยตรง ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้แก่
- ระคายเคืองกระเพาะอาหาร รู้สึกแสบท้อง ไม่สบายท้อง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ในระยะยาวอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- หากรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้
คำแนะนำที่ดีที่สุด
- ควรกินยาไอบูโพรเฟนพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที (ภายใน 15-30 นาที)
- หากไม่สะดวกรับประทานอาหารมื้อหลัก อาจกินยาพร้อมกับอาหารว่าง เช่น ขนมปัง หรือดื่มนมหนึ่งแก้ว เพื่อช่วยเคลือบกระเพาะ
กินยาไอบูโพรเฟน บ่อย ๆ อันตรายหรือไม่
การกินยาไอบูโพรเฟนบ่อยครั้งหรือติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่มีความจำเป็นหรือไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ แม้ว่าจะเป็นยาที่หาซื้อได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ แต่การใช้อย่างพร่ำเพรื่อก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สำคัญหลายประการ
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร เป็นความเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุด การใช้ยาต่อเนื่องทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลง เสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ และอาจรุนแรงถึงขั้นเลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งสังเกตได้จากการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
- ผลต่อไต ยาไอบูโพรเฟนมีผลทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตหดตัวลง หากใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงไตไม่เพียงพอ ส่งผลให้การทำงานของไตเสื่อมลง และอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคไตอยู่เดิม
- ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด มีข้อมูลว่าการใช้ยา NSAIDs (รวมถึงไอบูโพรเฟน) ในขนาดสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งนำไปสู่โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial Infarction) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้
- ผลต่อความดันโลหิต ยาไอบูโพรเฟนอาจทำให้ร่างกายมีการคั่งของเกลือและน้ำมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และอาจลดประสิทธิภาพของยาลดความดันโลหิตบางชนิด
ดังนั้น หากมีอาการปวดเรื้อรังที่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดและพิจารณาทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัยกว่าในระยะยาว
ใครบ้างที่ไม่ควรกินยาไอบูโพรเฟน
แม้ไอบูโพรเฟนจะเป็นยาที่คนส่วนใหญ่ใช้ได้อย่างปลอดภัย แต่ก็มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดนี้โดยเด็ดขาด หรือต้องใช้ด้วยความระมัดระวังสูงสุดภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา ผู้ที่เคยมีอาการแพ้ยาไอบูโพรเฟน หรือยาอื่นในกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน (Aspirin) ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) นาพรอกเซน (Naproxen) โดยมีอาการ เช่น ผื่นคัน ลมพิษ หายใจลำบาก ใบหน้าบวม ปากบวม **ต้องเลี่ยงยาทุกตัวในกลุ่ม NSAIDs จนกว่าจะมีการทดสอบแพ้ยา
- ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ หรือมีประวัติเลือดออกในทางเดินอาหารมาก่อน เพราะยาจะทำให้อาการกำเริบและเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกซ้ำ
- ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่การทำงานของไตบกพร่องหรือเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด เพราะยาจะลดการไหลเวียนเลือดไปที่ไตและทำให้ไตทำงานหนักขึ้นจนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว หรือเพิ่งผ่านการผ่าตัดบายพาสหัวใจ (CABG) ห้ามใช้ยานี้เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- สตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป) ห้ามใช้ยานี้เด็ดขาด เพราะอาจส่งผลต่อหัวใจและหลอดเลือดของทารกในครรภ์ และอาจทำให้การคลอดยากขึ้น
- ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยหอบหืดบางรายอาจมีอาการแพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs และกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบได้
- ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ห้ามใช้ไอบูโพรเฟนในผู้ที่สงสัยหรือเป็นโรคไข้เลือดออก เพราะยาจะส่งผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและอาจเกิดภาวะช็อกได้
ยาไอบูโพรเฟน ห้ามกินคู่กับยาอะไร
การกินยาไอบูโพรเฟนร่วมกับยาบางชนิดอาจทำให้เกิด “ปฏิกิริยาระหว่างยา” หรือยาตีกัน (Drug Interactions) ซึ่งอาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกายได้ ดังนั้นหากคุณกำลังใช้ยาใด ๆ อยู่ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งก่อนเริ่มใช้ยาไอบูโพรเฟน ยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษเมื่อใช้ร่วมกับไอบูโพรเฟน ได้แก่
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants)
- ตัวอย่างยา วาร์ฟาริน (Warfarin) อะพิซาแบน (Apixaban) ดาบิกาแทน (Dabigatran) ไรวารอกซาแบน (Rivaroxaban) อีดอกซาแบน (Edoxaban)
- ผลที่เกิดขึ้น ไอบูโพรเฟนจะไปเสริมฤทธิ์ของยาเหล่านี้ ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงกว่าปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่าย หรือเลือดออกไม่หยุดอย่างรุนแรง
- ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelets)
- ตัวอย่างยา แอสไพริน (Aspirin) ขนาดต่ำ โคลพิโดเกรล (Clopidogrel)
- ผลที่เกิดขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อย่างมาก
- ยาในกลุ่ม NSAIDs ตัวอื่น
- ตัวอย่างยา ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) นาพรอกเซน (Naproxen) เซเลโคซิบ (Celecoxib) รวมถึงรูปแบบแผ่นปิดแก้ปวดที่มีตัวยา เอสเฟลอร์ไบโพรเฟน (Esflurbiprofen)
- ผลที่เกิดขึ้น การใช้ยา NSAIDs มากกว่าหนึ่งชนิดพร้อมกัน ไม่ได้ช่วยให้แก้ปวดได้ดีขึ้น แต่จะเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและไตเป็นทวีคูณ
- ยาลดความดันโลหิตสูงบางกลุ่ม
- ตัวอย่างยา กลุ่ม ACE inhibitors (เช่น Enalapril) และกลุ่ม ARBs (เช่น Losartan)
- ผลที่เกิดขึ้น ไอบูโพรเฟนอาจลดประสิทธิภาพของยาลดความดัน ทำให้ควบคุมความดันได้ไม่ดี และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
- ตัวอย่างยา ฟูโรซีไมด์ (Furosemide) ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ (Hydrochlorothiazide)
- ผลที่เกิดขึ้น ไอบูโพรเฟนเพิ่มความเสี่ยงต่อไตวายได้ และอาจลดฤทธิ์ของยาขับปัสสาวะ
- ยาลิเทียม (Lithium)
- ผลที่เกิดขึ้น ไอบูโพรเฟนจะทำให้ระดับยาลิเทียมในเลือดสูงขึ้นจนอาจเกิดพิษได้
กินยาไอบูโพรเฟนเกินขนาด ต้องทำอย่างไร
การรับประทานยาไอบูโพรเฟนเกินขนาด (Overdose) เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน เพราะอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย หากคุณหรือคนใกล้ชิดสงสัยว่าอาจกินยาเกินขนาด ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องตั้งสติและปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ทันที
ขั้นตอนที่ควรปฏิบัติทันที
- หยุดรับประทานยาทันที ห้ามกินยาไอบูโพรเฟนหรือยาอื่น ๆ เพิ่มเข้าไปอีก
- ประเมินอาการเบื้องต้น อาการของการได้รับยาเกินขนาดอาจปรากฏขึ้นภายใน 4 ชั่วโมง และมีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการที่พบบ่อยได้แก่
- คลื่นไส้รุนแรง อาเจียน
- ปวดท้องเฉียบพลัน แสบร้อนกลางอก
- ง่วงซึมอย่างมาก สับสน หรือมึนงง
- มองเห็นภาพไม่ชัด หรือเห็นภาพซ้อน
- มีเสียงดังในหู (Tinnitus)
- หายใจช้าหรือหายใจลำบาก
- ในกรณีที่รุนแรงมาก ถ้าเป็นยาไอบูโพรเฟน ยาอินโดเททาซินจะมีอาการชัก หมดสติ หรือภาวะไตวายเฉียบพลัน
- รีบไปพบแพทย์โดยด่วน ไม่ต้องรอให้อาการปรากฏขึ้นทั้งหมด หากทราบว่ากินยาเกินขนาด ให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
- นำข้อมูลไปด้วย ขณะไปโรงพยาบาล ควรนำขวดหรือแผงยาไอบูโพรเฟนที่รับประทานไปด้วย เพื่อให้แพทย์ทราบข้อมูลของยา ปริมาณยา และสามารถประเมินปริมาณที่ผู้ป่วยได้รับเข้าไปได้อย่างแม่นยำ
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ห้ามพยายามทำให้อาเจียนเอง นอกจากจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจเกิดการสำลักและเป็นอันตรายได้
- ห้ามกินยาอื่นเพื่อล้างพิษ เช่น ยาถ่านกัมมันต์ (Activated Charcoal) เองโดยไม่มีคำสั่งแพทย์
การรักษาในโรงพยาบาลจะขึ้นอยู่กับปริมาณยาที่ได้รับและระยะเวลาที่ผ่านไป โดยอาจมีการล้างท้อง การให้ยาถ่านกัมมันต์เพื่อดูดซับยาที่เหลือ หรือการรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองการทำงานของอวัยวะต่างๆ
ยาไอบูโพรเฟน ต่างจากพาราเซตามอลอย่างไร
ไอบูโพรเฟนและพาราเซตามอล (Paracetamol หรือ Acetaminophen) เป็นยาสามัญประจำบ้านที่คนนิยมใช้เพื่อลดไข้และแก้ปวดมากที่สุด แต่ยา ทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในด้านกลไกการออกฤทธิ์ คุณสมบัติ และข้อควรระวัง การเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับอาการจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- กลุ่มยา ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- คุณสมบัติหลัก
- ลดไข้
- แก้ปวด
- ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) นี่คือคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างจากพาราเซตามอล
- เหมาะกับอาการแบบไหน
- อาการปวดที่มีการอักเสบร่วมด้วย เช่น ปวดข้อ ข้อบวม ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง ปวดประจำเดือน ปวดฟัน
- กลไกการออกฤทธิ์ ยับยั้งเอนไซม์ COX ทั่วร่างกาย ทำให้การสร้างสารโพรสตาแกลนดินลดลง
- ข้อควรระวังหลัก
- ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ต้องกินหลังอาหารเสมอ
- มีผลต่อไตและหัวใจ ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตหรือโรคหัวใจ กินบ่อย ๆ อาจทำให้ไตวายได้
พาราเซตามอล (Paracetamol)
- กลุ่มยา ยาแก้ปวดลดไข้ (Analgesics & Antipyretics)
- คุณสมบัติหลัก
- ลดไข้
- แก้ปวด
- ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ หรือมีน้อยมาก
- เหมาะกับอาการแบบไหน
- อาการปวดที่ไม่มีการอักเสบชัดเจน เช่น ปวดศีรษะทั่วไป ปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อย และใช้เป็นยาลดไข้เป็นหลัก
- กลไกการออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางเป็นหลัก ไม่ได้ยับยั้งเอนไซม์ COX ทั่วร่างกายเหมือนไอบูโพรเฟน
- ข้อควรระวังหลัก
- เป็นพิษต่อตับ (Hepatotoxicity) หากใช้ยาเกินขนาด (มากกว่า 4,000 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ใหญ่) จะทำลายตับอย่างรุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้
- ค่อนข้างปลอดภัยต่อกระเพาะอาหารมากกว่าไอบูโพรเฟน
ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ และลดการอักเสบที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับอาการปวดที่มีการอักเสบร่วมด้วย เช่น ปวดประจำเดือน หรือปวดกล้ามเนื้อ แต่การใช้อย่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยหัวใจหลักคือ ต้องรับประทานยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันทีเสมอ เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร การใช้ยาบ่อยครั้งหรือต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อไตและเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ ดังนั้นจึงควรใช้ยาในขนาดต่ำที่สุดที่ได้ผลและในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จำเป็น เมื่ออาการดีขึ้นควรหยุดยา ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคกระเพาะ โรคไต หรือโรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ การใช้ยาอย่างมีความรับผิดชอบจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยจากผลข้างเคียง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
Q1: ยาไอบูโพรเฟนทำให้ง่วงนอนหรือไม่ ?
A: โดยทั่วไปแล้ว ยาไอบูโพรเฟนไม่ได้จัดเป็นยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม แต่อาการง่วงนอนหรือมึนงงสามารถเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ในผู้ใช้ยาบางราย แต่พบได้ไม่บ่อยนัก หากคุณรู้สึกง่วงซึมผิดปกติหลังกินยา ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือการทำงานกับเครื่องจักรที่อันตราย
Q2: ยาไอบูโพรเฟนออกฤทธิ์ภายในกี่นาที ?
A: โดยทั่วไป ยาไอบูโพรเฟนในรูปแบบยาเม็ดจะเริ่มออกฤทธิ์เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดไข้ภายในเวลาประมาณ 30 ถึง 60 นาที หลังจากรับประทาน และยาจะออกฤทธิ์สูงสุดในเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
Q3: สามารถกินยาไอบูโพรเฟนเพื่อป้องกันอาการปวดล่วงหน้าได้หรือไม่ ?
A: ไม่แนะนำให้กินยาไอบูโพรเฟนเพื่อป้องกันอาการปวดทั่วไปล่วงหน้า เช่น การปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น อาการปวดประจำเดือน แพทย์อาจแนะนำให้เริ่มกินยาก่อนที่อาการปวดจะรุนแรง 1-2 วัน ซึ่งควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
Q4: หากมีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง สามารถกินไอบูโพรเฟนได้ไหม ?
A: ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาไอบูโพรเฟน เนื่องจากยาสามารถทำให้เกิดการคั่งของน้ำและเกลือในร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ และยังอาจไปรบกวนประสิทธิภาพของยาลดความดันโลหิตบางชนิดที่ใช้อยู่ การใช้เป็นครั้งคราวในระยะสั้นๆ อาจทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
ข้อมูลโดย
ภญ.กรองทอง พุฒิโภคิน
เภสัชกรรมคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 0 2201 1000 หรือ 0 2200 3000
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










