ยาแอสไพริน (Aspirin หรือ acetylsalicylic acid) เป็นยาในกลุ่ม NSAIDs ที่มีบทบาทหลักในการลดอาการอักเสบ ลดไข้ ลดอาการปวด และมีกลไกยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ที่ใช้ป้องกันภาวะที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด (เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน) แต่มีข้อควรระวังในการใช้ยา เช่น ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือ อาการแพ้ยา ดังนั้นก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ
สรุปข้อมูลสำคัญ
- กลุ่มยา : ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) / ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet)
- ข้อบ่งใช้ : บรรเทาอาการปวด อักเสบ ลดไข้ และต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
- รูปแบบยา : ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- ข้อควรระวังหลัก : ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยากลุ่ม NSAIDs ผู้ที่เป็นโรคหืด ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก สตรีมีครรภ์โดยเฉพาะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ หรือผู้ป่วยที่มีไข้จากไวรัส
- เอกสารที่ควรอ่าน : เอกสารกำกับยา / เอกสารแนบผลิตภัณฑ์
ยาแอสไพริน (Aspirin) คืออะไร ?
แอสไพริน หรือ Acetylsalicylic acid เป็นยาที่ถูกใช้มานาน มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ ระงับปวด และลดไข้ โดยทำงานผ่านการยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบในร่างกาย นอกจากใช้เพื่อบรรเทาอาการทั่วไป เช่น ปวดหัว ปวดฟัน หรือปวดกล้ามเนื้อแล้ว แอสไพรินยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยช่วยลดความเสี่ยงของการอุดตันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
กลไกการออกฤทธ์ของยาแอสไพริน
แอสไพริน ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase (COX-1 และ COX-2) ซึ่งมีหน้าที่ผลิตสาร Prostaglandins ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ การปวด และการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เมื่อเอนไซม์นี้ถูกยับยั้ง จะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้ นอกจากนี้ การยับยั้ง COX-1 ยังส่งผลต่อเกล็ดเลือด ทำให้เกล็ดเลือดไม่จับตัวกันง่าย จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นเหตุผลที่แพทย์สั่งยาแอสไพรินให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
สรรพคุณของยาแอสไพริน มีอะไรบ้าง ?
- ลดไข้ ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้กลับสู่ปกติ
- ระงับปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดฟัน หรือปวดประจำเดือน
- ลดการอักเสบ ในผู้ที่มีภาวะอักเสบของข้อต่อหรือกล้ามเนื้อ
- ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
อย่างไรก็ตาม ควรใช้ในขนาดที่แพทย์แนะนำเท่านั้น เพราะการใช้ขนาดสูงเกินไปอาจเกิดผลข้างเคียงเช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร
วิธีใช้ยาแอสไพรินอย่างถูกต้อง
- สำหรับบรรเทาอาการปวดหรือไข้ : รับประทานตามขนาดที่แพทย์หรือฉลากระบุ (ปกติ 325–650 มก. ทุก 4–6 ชั่วโมง เวลามีอาการ)
- สำหรับป้องกันลิ่มเลือด : ใช้ขนาดยาตามคำสั่งแพทย์
- ควรรับประทานหลังอาหารทันที เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ห้ามหยุดยาเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผลข้างเคียงของยาแอสไพริน
แอสไพรินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยเฉพาะหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น
- ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แผลในทางเดินอาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
- เลือดออกผิดปกติ
- หลอดลมตีบ อาการของโรคหืดกำเริบ
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ถ่ายดำ อาเจียนเป็นเลือด หรือหายใจหอบ ควรหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที
ข้อห้ามใช้และข้อควรระวังในการใช้ยาแอสไพริน
- ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก เช่น ผู้ป่วยโรคเลือดออกผิดปกติ ผู้ป่วยไข้เลือดออก ผู้ป่วยที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดหรือถอนฟัน ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องหยุดยาแอสไพรินล่วงหน้าก่อนทำหัตถการ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง ห้ามหยุดยาเอง
- ผลข้างเคียงของยาแอสไพริน ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร จึงควรกินยาหลังอาหารทันที โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคกระเพาะอาหาร แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินร่วมกับยาลดกรด
- ไม่แนะนำให้หักแบ่ง หรือบดยา (ถ้าไม่จำเป็น) เพราะตัวยาที่ถูกเคลือบไว้จะถูกปลดปล่อยออกมาและระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ระหว่างกินยาแอสไพริน เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงของอาการเลือดออกผิดปกติ
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยาแอสไพริน หรือแพ้ยาอื่น ๆ ในกลุ่ม NSAIDs
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินในผู้ป่วยโรคหืด เพราะยาทำให้หลอดลมตีบได้ ส่งผลให้โรคหืดกำเริบ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินในสตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากส่งผลต่อทารกในครรภ์
ยาแอสไพริน เป็นยาที่มีประโยชน์อย่างมากทั้งในด้านการบรรเทาอาการปวด ลดไข้ และใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ก็มีความเสี่ยงหากใช้ไม่ถูกวิธี ผู้ใช้ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์เสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือผู้ที่มีประวัติโรคระบบทางเดินอาหาร เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการข้างเคียงจากยาแอสไพริน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยาแอสไพริน (Aspirin)
Q1: แอสไพรินรับประทานก่อนหรือหลังอาหารดีที่สุด ?
A: ควรรับประทานหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร
Q2: แอสไพรินสามารถใช้แทนยาแก้ปวดทั่วไปได้ไหม ?
A: สามารถใช้ได้ในบางกรณี แต่ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น และไม่เกินขนาดที่กำหนดควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
Q3: เด็กสามารถรับประทานแอสไพรินได้หรือไม่ ?
A: สามารถใช้ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กที่มีไข้จากไวรัส เพราะอาจเกิด Reye’s syndrome ได้
Q4: หากลืมรับประทานยาแอสไพรินขนาดต่ำสำหรับหัวใจ ควรทำอย่างไร ?
A: ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากใกล้เวลามื้อถัดไปให้ข้ามไปรับประทานมื้อถัดไปได้เลย
Q5: ใช้แอสไพรินร่วมกับยาอื่นได้ไหม ?
A: ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนใช้ยา
ข้อมูลโดย
ภญ.พรชนก สายเชื้อ
เภสัชกรรมคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 0 2201 1000 หรือ 0 2200 3000
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










