ปวดท้องข้างขวา เฉียบพลันอาจมีความเสี่ยง ไส้ติ่งอักเสบ โรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาจมีอาการคล้ายกับอาการปวดท้องทั่วไปและส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยที่ใช้ระยะเวลานาน ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
ไส้ติ่ง เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบทางเดินอาหารที่แยกออกจากบริเวณลำไส้ใหญ่ บริเวณท้องน้อยทางด้านขวา มีลักษณะเป็นท่อยาวประมาณ 3-4 นิ้ว มีหน้าที่ในการสร้างภูมิให้กับบริเวณลำไส้
ไส้ติ่งอักเสบ เกิดจากอะไร
อาการนี้แพทย์ยังไม่สามารถหาสาเหตุของโรคได้ชัดเจน แต่อาจเกิดจากการอุดตันบริเวณรูของไส้ติ่ง เนื่องจากไส้ติ่งมีลักษณะคล้ายลำไส้ที่จะมีรูเล็ก ๆ เมื่อมีก้อนสิ่งแปลกปลอม เศษอุจจาระขนาดเล็กที่แข็งตัวไปอุดตัน จะทำให้เกิดการคั่งของเลือดดำที่ไม่สามารถไหลย้อนกลับมาได้และเลือดแดงไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงได้จนเกิดการขาดเลือดและอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ผนังไส้ติ่งเกิดการเน่าและแตกได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าหากกินผลไม้ที่มีเมล็ดเยอะอย่างเช่นฝรั่ง เมล็ดนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบได้ ความเชื่อนี้จะจริงหรือไม่ ติดตามได้ที่ – กินเมล็ดฝรั่ง ทำให้ไส้ติ่งอักเสบ ?
สัญญาณเตือน ไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดท้องบริเวณรอบสะดือและย้ายมาบริเวณท้องน้อยทางด้านขวา
- ท้องอืด
- เริ่มมีอาการปวดท้องเพิ่มมากขึ้น
- คลื่นไส้ อาเจียน
- กดบริเวณที่ปวดแล้วเจ็บ
- ท้องผูกหรือท้องเสีย
- มีไข้ร่วมด้วยหลังจากการปวดท้อง
อาการปวดท้องที่เป็นสัญญาณเตือนของไส้ติ่งอักเสบมาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ – ปวดท้องแบบไหนไส้ติ่งอักเสบ
นอกจากนี้ยังมีอาการปวดท้องในตำแหน่งต่าง ๆ ที่สามารถบอกโรคอื่น ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่องร่างกายได้อีก ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ – ปวดท้อง ตำแหน่งไหนบอกโรคอะไรบ้าง ?
ระยะของไส้ติ่งอักเสบ
- ระยะที่ 1 เมื่อไส้ติ่งเริ่มเกิดการอุดตัน จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องบริเวณรอบสะดืออย่างเฉียบพลัน จุกแน่นท้อง และมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย
- ระยะที่ 2 ไส้ติ่งจะเริ่มบวม และทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวาในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
- ระยะที่ 3 ระยะที่มีความเสี่ยงอันตรายมากที่สุด เนื่องจากมีโอกาสไส้ติ่งแตกทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายในช่องท้อง หากไม่ได้รับการผ่าตัดเชื้อโรคอาจเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อน ไส้ติ่งอักเสบ
เมื่อผู้ป่วยมีอาการไส้ติ่งอักเสบและไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้เกิดภาวะไส้ติ่งแตก ทำให้เชื้อโรคบริเวณแผลกระจายและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนี้
โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เมื่อผู้ป่วยไส้ติ่งแตกทำให้เชื้อโรคอาจจะแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อจนทำให้เกิดการอักเสบบริเวณภายในช่องท้อง ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หายใจถี่มากขึ้น มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ฝีในช่องท้อง ในผู้ป่วยบางรายที่ไส้ติ่งแตกจะมีฝีที่เกิดขึ้นบริเวณในช่องท้อง ฝีในช่องท้องเกิดจากร่างกายพยายามต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อแพทย์ได้ทำการรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว จะดำเนินการต่อท่อระบายหนองฝีที่อยู่ในร่างกายออก
วิธีการรักษา
เมื่อผู้ป่วยมีอาการไส้ติ่งอักเสบแพทย์จะดำเนินการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีงานวิจัยว่าสามารถรักษาไส้ติ่งอักเสบที่มีการอักเสบยังไม่มากด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลือกเฉพาะผู้ป่วยบางรายและมีโอกาสรักษาไม่สำเร็จรวมถึงมีโอกาสเกิดการอักเสบซ้ำได้ การผ่าตัดไส้ติ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- การผ่าตัดแบบส่องกล้อง เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีแผลที่ขนาดเล็ก ผู้ป่วยใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย วิธีการรักษาแบบส่องกล้องจะสามารถทำให้แพทย์มองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนจากกล้องมากขึ้นทำให้การผ่าตัดมีความปลอดภัยและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด
- การผ่าตัดแบบเปิดแผล เป็นการรักษาโดยการเปิดแผลที่บริเวณท้องน้อยทางด้านขวาตรงตำแหน่งของไส้ติ่ง
ปัจจุบันมีงานวิจัยว่าสามารถรักษาไส้ติ่งอักเสบที่มีการอักเสบยังไม่มากด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลือกเฉพาะผู้ป่วยบางรายและมีโอกาสรักษาไม่สำเร็จรวมถึงมีโอกาสเกิดการอักเสบซ้ำได้
ไส้ติ่งอักเสบ เป็นอาการ ปวดท้องข้างขวา อย่างเฉียบพลันที่ไม่สามารถรักษาให้หายเองได้ หากผู้ป่วยรู้อาการเบื้องต้นที่บ่งชี้ถึง ภาวะไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคและดำเนินการรักษาได้อย่างท่วงทีเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนจนถึงแก่ชีวิต
ข้อมูลจาก
ผศ. นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์
สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม
ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: https://www.youtube.com/RamachannelTV
Facebook : https://www.facebook.com/ramachannel