ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การใช้ยาต้านเอชไอวี สำหรับการป้องกันหรือเพร็พ
หน้าแรก
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การใช้ยาต้านเอชไอวี สำหรับการป้องกันหรือเพร็พ

ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การใช้ยาต้านเอชไอวี สำหรับการป้องกันหรือเพร็พ

ในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยโรคเอดส์สะสมประมาณ 1 ล้าน 2 แสนคน โดยในจำนวนดังกล่าวเสียชีวิตแล้ว 7 แสน 7 หมื่นคน ถือเป็นสถิติที่ยังคงน่าเป็นห่วง ทำให้มีการรณรงค์เกี่ยวกับการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งการมีคู่นอนคนเดียว การใช้ถุงยางอนามัย การไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมถึงการใช้ยาต้านเอชไอวี ที่มีผู้สนใจจำนวนไม่น้อย แต่พบว่าในหลายคนยังขาดความรู้เกี่ยวกับ การใช้ยาต้านเอชไอวี แต่มาใช้เป็นยาที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจ

การใช้ยาต้านเอชไอวี สำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวีหรือยาเพร็บ (PrEP)

เป็นการป้องกันวิธีหนึ่ง ที่ใช้ร่วมกับการป้องกันการติดเชื้อวิธีอื่นๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และการมีคู่นอนคนเดียว เป็นต้น โดยชนิดของยาก็จะเป็นชนิดเดียวกับยาที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี แต่จะใช้ยาเพียง 2 ชนิด เม็ดเดียว ในขณะที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องกินยา 3 ชนิดร่วมกัน เมื่อกินยาเข้าไปแล้วตัวยาจะอยู่ในกระแสเลือด และช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย

เพร็พ เหมาะกับ

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเช่น ผู้มีคู่ผลเลือดบวกและคู่กำลังรอเริ่มยาต้านเอชไอวีอยู่หรือคู่ได้ยาต้านเอชไอวีแล้วแต่ยังตรวจพบเชื้อไวรัสในเลือดอยู่ ผู้ที่มีคู่ผลเลือดบวกที่ไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ผู้ที่มักมาขอรับบริการการป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อหรือเพ็พ (PEP) เป็นประจำโดยไม่สามารถลดพฤติกรรมเสี่ยงได้หลังได้รับคำปรึกษาแนะนำ ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ชายหรือหญิงที่ทำงานบริการทางเพศ ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดที่กำลังฉีดอยู่หรือฉีดครั้งสุดท้ายภายใน 3 เดือน ผู้ต้องขังที่เป็นผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด และผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

ก่อนจะเริ่มเพร็พ

จะต้องมีการตรวจเลือดก่อนว่าไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก่อน และมีการตรวจอื่น ๆ ได้แก่ การทำงานของไต การตั้งครรภ์ (ในเพศหญิง) ตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ หลังจากที่เริ่มต้นกินยาแล้วจะต้องให้มีระดับยาคงที่ก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7 วัน จนกระทั่งระดับยาสูงเพียงพอที่จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ที่สำคัญคือต้องกินยาต่อเนื่องทุกวัน จากข้อมูลการศึกษาในขณะนี้ และการกินยาต้านเอชไอวีสำหรับการป้องกันยังต้องอยู่ในความดูแลและควบคุมของแพทย์ เนื่องจากยามีผลข้างเคียงคือ เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง และมึนหัว ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปเองในเวลาไม่นาน ในระยะยาวอาจจะส่งผลต่อกระดูกและไตได้ ซึ่งต้องติดตามผลการศึกษาในระยะยาวต่อไป โดยจะต้องมีการตรวจติดตามว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ทุก ๆ 3 เดือน ตรวจการทำงานของไตทุก ๆ 6 เดือน  และคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะซิฟิลิส

ความกังวลของการใช้ยาต้านเอชไอวีสำหรับการป้องกันคือ

อาจทำให้การป้องกันวิธีอื่นลดลง เช่น การใช้ถุงยางลดลง หรือยังใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้อื่น โดยในความเป็นจริงแล้ว การใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นเรื่องสำคัญ แม้จะกินยาต้านเอชไอวีแล้วก็ตาม เพราะยาต้านเอชไอวีไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งร้อยละ 100 และยังขาดคุณสมบัติหลายอย่างที่ไม่สามารถป้องกันได้เหมือนถุงยางอนามัย ได้แก่ ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ เช่น โรคหนองใน โรคซิฟิลิส เป็นต้น

นอกจากนี้การกินเพร็พนั้น สามารถหยุดได้ ถ้ามีผลข้างเคียงหรือไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวีแล้ว

 

ข้อมูลจาก
ศ. พญ.ศศิโสภิณ  เกียรติบูรณกุล
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล


คลิกชมคลิปรายการ “Rama Focus | ทำความเข้าใจยาเพร็บ ช่วยต้าน HIV” ได้ที่นี่

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/

Youtube: RAMA Channel

Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel 

LINE: Ramathibodi

Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

มะเร็งลำไส้ โรคร้ายที่ไม่เลือกวัย
มะเร็งลำไส้ใหญ่พบได้ทุกวัย ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ อาการแอบแฝง ตรวจพบเร็วช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต รู้ทันสัญญาณเตือนและแนวทางป้องกัน
บทความสุขภาพ
25-06-2025

1

Get to know “H. pylori” before becoming a victim of stomach cancer
เชื้อเอชไพโลไร (H. pylori) อาจดูธรรมดาแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหาร หากตรวจพบเร็วสามารถรักษาและป้องกันได้ทัน
บทความสุขภาพ
23-06-2025

0

ป้องกันอย่างไร ไม่ให้เกิดอาการปวดหน้าเท้า
อาการปวดหน้าเท้าอาจเกิดจากรองเท้าไม่พอดี น้ำหนักตัว หรือการใช้งานเท้าเกินพอดี รู้วิธีป้องกันและบรรเทาอาการอย่างถูกต้อง
บทความสุขภาพ
19-06-2025

4

กระเพาะทะลุ อาการโหดที่ไม่ควรมองข้าม รู้เร็ว รักษาได้ ไม่ต้องทนเจ็บ!
กระเพาะทะลุเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตราย เจ็บท้องเฉียบพลัน แน่นท้อง คลื่นไส้ ต้องรีบรักษาโดยเร็ว รู้ทันอาการเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
บทความสุขภาพ
13-06-2025

5

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL