โรคกระดูกพรุน สามารถเกิดขึ้นกับ กระดูก ได้ทั่วร่างกาย ทำให้คุณภาพและความแข็งแรงของกระดูกลดลงซึ่งเกิดจากความหนาแน่นหรือมวลของกระดูกที่ลดลง จนเกิด การเปราะบาง และมีโอกาสแตกหักได้ง่าย ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคนี้จะมีส่วนสูงที่ลดลง หรือกระดูกสันหลังผิดรูป
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นมวลกระดูกก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆ หากไม่มีการดูแลที่เหมาะสมก็อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนตามมาได้ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้กระดูกหักได้ง่ายและส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของเราได้
โรคกระดูกพรุนคืออะไร
โรคที่ทำให้คุณภาพของกระดูกค่อย ๆ ถดถอยลง โดยปกติกระดูกจะเกิดการผลัดเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มีการสร้างกระดูกขึ้นใหม่และมีการผลัดกระดูกเก่าออกไป หากร่างกายอยู่ในภาวะปกติ การสร้างและการผลัดกระดูกจะมีความสมดุลกัน เราจึงมีกระดูกใหม่ที่แข็งแรง แต่เมื่อเกิดภาวะกระดูกพรุน การสร้างกระดูกจะเกิดขึ้นน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้คุณภาพกระดูกไม่แข็งแรง กระดูกจึงเปราะบาง หากล้ม บิดตัวแรง ๆ หรือมีอุบัติเหตุเล็กน้อย กระดูกจะแตกหักได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
สาเหตุและกลุ่มเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
สาเหตุของโรคกระดูกพรุนแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีสาเหตุและกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุ
-
กลุ่มที่มีสาเหตุความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
- คนไข้โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การอักเสบเรื้อรังของข้อตามกระดูกต่างๆ ทำให้กระดูกบางลงเรื่อยๆ หากเป็นมากทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้
- คนไข้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น ไตวาย การล้างไตทำให้ร่างกายเสียสมดุลของระดับแคลเซียม คนไข้กลุ่มนี้จึงต้องมีการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกเพื่อรักษาสมดุลของระดับแคลเซียมในเส้นเลือด
- คนไข้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง เช่น โรคลมชักที่ต้องรับประทานยากันชัก โรคข้ออักเสบ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ที่ต้องรับประทานสเตียรอยด์เพื่อกดภูมิคุ้มกัน การรับประทานสเตียรอยด์ในระยะยาวส่งผลให้คุณภาพกระดูกแย่ลง เกิดโรคกระดูกพรุนได้
-
กลุ่มที่ไม่มีสาเหตุความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
- โรคกระดูกพรุนในกลุ่มนี้เกิดขึ้นตามวัยเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงวัยทองที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้การดูดซึมแคลเซียมหรืออัตราการสร้างและสลายกระดูกเสียสมดุลไป
อาการโรคกระดูกพรุน
ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะไม่มีอาการแสดงให้สังเกตเห็นได้ชัดเจน และมักทราบเมื่อเกิดอุบัติเหตุจนนำไปสู่ กระดูก หัก แต่ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ ดังนี้ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ – กระดูกพรุน โรคของกระดูกที่ต้องระวัง
- หลังค่อม
- ความสูงลดลง มากกว่า 2 ซม.ใน 1 ปี หรือ ลดลงมากกว่า 6 ซม.จากที่เคยวัดได้
- กระดูกสันหลังยุบตัว
- กระดูกแตกหักได้ง่าย เมื่อถูกกระแทกแบบไม่รุนแรง
พฤติกรรมเสี่ยง โรคกระดูกพรุน
- การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง กระดูกได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ
- ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น หากผู้ป่วยขาดการออกกำลังกายเป็นเวลานานจะมีโอกาสเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้
- ร่างกายได้รับแคลเซียมหรือวิตามินดีไม่เพียงพอ ปริมาณแคลเซียมที่อยู่ในร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยให้มวลกระดูกมีความแข็งแรง หากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้
- การได้รับยาบางชนิดเป็นระยะเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาลดกรดในกระเพาะ หรือยาป้องกันการชักบางชนิด
- น้ำหนักตัวที่น้อยเกินไป
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดกระดูกพรุน
- เพศ เพศหญิงมักมีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าเพศชาย เมื่อหมดประจำเดือนหรือมีการผ่าตัดรังไข่ เนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศทำให้กระบวนการสลายกระดูกเพิ่มมากขึ้นและสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว
- อายุ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ความหนาแน่นของมวลกระดูกก็จะลดลง โดยผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ชายอายุมากกว่า 70ปี ควรได้รับการตรวจมวลกระดูก
- พันธุกรรม ครอบครัวที่ญาติใกล้ชิดหรือพ่อแม่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน มีโอกาสเสี่ยงสูง
- โรคประจำตัวบางชนิด เช่น ภาวะฮอร์โมนต่ำ รูมาตอยด์ พาราไทรอยด์สูง และเบาหวาน
4 ความเชื่อเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน
หลายคนคงเคยได้ยินความเชื่อที่แชร์ต่อกันมาเกี่ยวกับโรคนี้ ทั้งพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงโรค และวิธีการรักษาที่ว่ากันว่าได้ผล ความเชื่อเหล่านี้จริงหรือไม่
ความเชื่อที่ 1 กระดูกพรุนเป็นโรคทางพันธุกรรม
ความเชื่อนี้จริง หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนเท่ากับยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคนี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การรู้ว่ามีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปอาจเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราสามารถป้องกัน และปฏิบัติตนให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุนเหมือนคนในครอบครัวได้
ความเชื่อที่ 2 รับประทานยาเป็นประจำ เสี่ยงโรคกระดูกพรุน
ความเชื่อนี้จริง โดยปกติยาที่ทำให้เสี่ยงโรคนี้มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ 1. กลุ่มยากันชัก 2. กลุ่มยาสเตียรอยด์ คนไข้บางรายมีความจำเป็นต้องรับประทานยาต่อเนื่องนานหลายปี เช่น คนไข้ที่เป็นลมชัก หรือคนไข้โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คนไข้เหล่านี้มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป จึงจำเป็นต้องตรวจคัดกรองบ่อยกว่า และต้องได้รับการรักษาที่เร็วกว่า ส่วนคนไข้ที่ไม่ได้รับประทานยาเป็นประจำถือว่าไม่ได้เป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก
ความเชื่อที่ 3 ชอบดื่มน้ำอัดลม เสี่ยงโรคกระดูกพรุน
ความเชื่อนี้จริง การดื่มน้ำอัดลมมากทําให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากสารอาหารที่รับประทานไปในแต่ละมื้อได้ นอกจากน้ำอัดลมแล้ว การดื่มชาหรือกาแฟเป็นประจำ ยังทำให้ร่างกายปัสสาวะบ่อย จึงมีการขับแคลเซียมออกมามากกว่าปกติ หากดื่มชาหรือกาแฟมากกว่าวันละ 3 แก้ว/วัน ถือว่าเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ส่วนน้ำอัดลมไม่ควรดื่มเกิน 4 กระป๋อง/สัปดาห์
ความเชื่อที่ 4 โรคกระดูกพรุน ทำให้เตี้ยลง
ความเชื่อนี้จริง เมื่อเป็นโรคกระดูกพรุนกระดูกจะไม่แข็งแรง กระดูกสันหลังสามารถยุบลงได้ หรือถ้ากระดูกหักหลาย ๆ จุด ส่วนสูงจะลดลงหรือเตี้ยลงได้ เช่น ผู้หญิงช่วงวัยรุ่นส่วนสูง 165 เซนติเมตร แต่เมื่ออายุ 65 – 70 ปี สูงแค่ 158 เซนติเมตร
วิธีป้องกัน โรคกระดูกพรุน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี ให้เพียงพอเพื่อเสริมสร้างกระดูก เช่น นม เต้าหู้ ผักคะน้า ถั่ว ปลา น้ำมันตับปลา และไข่ รับชมวิธีทำเมนูเพื่อสุขภาพป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ที่ – ภารกิจพิชิตโรคกระดูกพรุน – Eat To Goal
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ตรวจร่างกายเป็นประจำ และตรวจมวลกระดูกในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
- ควบคุมและรักษาโรคประจำตัวอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
- ระมัดระวังการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
วิธีการรักษา
- ใช้ยารักษากระดูกพรุน โดยยาจะทำหน้าที่ลดการทำลายกระดูกและเพิ่มการสร้างกระดูก ส่งผลให้มวลกระดูกเพิ่มความหนาแน่นขึ้น
- รับประทานอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอ โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดี
- การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักผ่านกระดูกอย่างสม่ำเสมอ
ข้อมูลจาก
ผศ. นพ.สรวุฒิ ธรรมยงค์กิจ
ศัลยกรรมกระดูกและข้อ
สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: https://www.youtube.com/RamachannelTV
Facebook : https://www.facebook.com/ramachannel