ยาพาราเซตามอล ใช้แก้ปวด ลดไข้ ถูกจัดให้เป็นยาสามัญประจำบ้านเพราะเป็นตัวยาที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาหรือร้านค้าทั่วไป สามารถกินยาพาราเซตามอลเพื่อช่วย บรรเทาอาการปวด ได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว ปวดฟัน ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดประจำเดือน ตลอดไปจนถึงยาพาราเซตามอลบางตัวยังออกฤทธิ์ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายทำให้ไข้ลดลง ยาพาราเซตามอลสามารถใช้ได้ทั้งในเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุโดยไม่ทำให้เกิดภาวะข้างเคียง แต่อย่างไรก็ตามพบว่าในปัจจุบันมีการใช้ยาพาราเซตามอลที่ไม่ถูกต้องมากขึ้น ทั้งการกินยาพร่ำเพรื่อ กินยาเกินขนาดจนส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ใช้ยาได้โดยไม่ทันรู้ตัว
ทำความรู้จักกับ ยาพาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอล มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) เป็นตัวยาที่ช่วย บรรเทาอาการปวด ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลาง เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดประจำเดือน และบางครั้งยังสามารถใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ยาพาราเซตามอลถูกจัดให้เป็นยาสามัญประจำบ้านที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและเป็นตัวยาที่ไม่อันตราย มีให้เลือกใช้หลายรูปแบบทั้งยาพาราเซตามอลชนิดเม็ด แคปซูล ยาน้ำ ยาเหน็บ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ – พาราเซตามอล ยาสามัญที่อาจสาหัส
กลไกการออกฤทธิ์ของยาพาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์โดยการเข้าไปช่วยยับยั้งสารเคมีบางชนิดในสมองของมนุษย์ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอาการปวด ความรู้สึกปวด เช่น สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ทำให้อาการปวดบรรเทาลง และยาพาราเซตามอลยังมีส่วนชักนำให้เกิดกลไกการลดอุณหภูมิในร่างกายจึงมีส่วนช่วยให้ไข้ลดลง โดยตัวยาพาราเซตามอลชนิดเม็ดจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 11 นาทีหลังการใช้ยาและอยู่ได้นานหลายชั่วโมง
วิธีการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างถูกต้อง
ถึงแม้ว่ายาพาราเซตามอลถูกจัดให้เป็นยาที่ไม่อันตรายแต่ก็ควรมีวิธีการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างถูกต้องเพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม โดยมีวิธีการใช้พาราเซตามอลที่แนะนำ ดังนี้
- ขนาดของยาพาราเซตามอลที่แนะนำ คือ 10-15 mg/kg/dose โดยทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่แนะนำให้กินขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง และไม่ควรกินเกิน 8 เม็ดต่อวัน (ไม่ควรรับตัวยามากกว่า 4,000 มิลลิกรัม/วัน)
- สามารถกินยาพาราเซตามอลได้ทั้งก่อนและหลังมื้ออาหาร
- ผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของตับบกพร่องควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนการใช้ยาพาราเซตามอล เพราะมีความจำเป็นต้องปรับขนาดยาที่ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์มีความจำเป็นต้องปรับขนาดยาพาราเซตามอลที่ใช้ให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวด้วยเสมอ
- ยาพาราเซตามอลเป็นยาที่ใช้เพื่อการรักษาอาการ หากไม่มีอาการปวด ไม่มีไข้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกินยา
- ในกรณีที่ลืมกินยาพาราเซตามอลสามารถกินยาได้ทันทีที่นึกขึ้นได้โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณตัวยาที่กินต่อมื้อ
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การใช้ยาพาราเซตามอลแบบผิดวิธี ได้ที่ – พาราเซตามอล ใช้ผิดชีวิตเปลี่ยน
ปัญหาที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้ ยาพาราเซตามอล
เนื่องจากยาพาราเซตามอลเป็นตัวยาที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่สูงและมีสรรพคุณช่วยลดไข้ บรรเทาอาการปวดได้ดี ส่งผลให้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้ยาพาราเซตามอลอย่างไม่เหมาะสมและมีปัญหาจากการใช้ยาพาราเซตามอลที่พบได้บ่อย ดังนี้
- การใช้ยาพาราเซตามอลพร่ำเพรื่อ หลายคนที่รู้สึกมีไข้ต่ำ ๆ หรือมีอาการปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มักกินยาพาราเซตามอลเพื่อช่วยบรรเทาอาการทันที การกินยาพร่ำเพรื่อติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อการทำงานของตับ ตับทำงานบกพร่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินยาพาราเซตามอลร่วมกับสุรา แอลกอฮอล์ที่ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการตับอักเสบมากขึ้น
- การใช้ยาพาราเซตามอลทั้งที่ไม่มีอาการ พบว่ามีผู้ใช้ยาบางรายกินยาทั้งที่ไม่มีอาการ เช่น การกินยาพาราเซตามอลดักไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อป้องกันอาการไข้ ทั้งที่ยังไม่มีอาการความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย การกินยาล่วงหน้าโดยไม่มีอาการนั้นถือเป็นการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุสมผลและไม่เกิดประสิทธิภาพในด้านการรักษาทั้งยังก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น ปัญหาดื้อยา การใช้ยาเกินขนาดจนส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ
- การใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าปริมาณการใช้ยาที่เหมาะสมคือ กินยาขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง หากกินมากกว่าครั้งละ 2 เม็ด จะต้องดูที่น้ำหนักตัวของผู้ป่วยว่าสัมพันธ์กับขนาดตัวยา 10-15 mg/kg/dose หรือไม่ หากคำนวณออกมาแล้วเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้แปลได้ว่าเป็นการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด และอาจสร้างผลเสียต่อตับได้เช่นเดียวกันกับการใช้ยาพร่ำเพรื่อ
อาการของการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด
อาการแสดงของการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างพร่ำเพรื่อหรือการใช้ยาเกินขนาดจะเริ่มแสดงในช่วง 1-3 วัน โดยจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของร่างกายทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เหงื่อออก เป็นระยะสั้น ๆ โดยจะเกิดภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ในบางรายอาจไม่มีอาการผิดปกติเลย
- ระยะที่ 2 หลังกินยาระหว่าง 24-48 ชั่วโมง อาจไม่มีอาการแสดงออกอย่างชัดเจนแต่เมื่อเจาะเลือดจะพบว่าเอนไซม์ทรานซามิเนส (Transaminase) เริ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่บ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบที่ตับ
- ระยะที่ 3 หลังกินยาไปแล้ว 48 ชั่วโมง มีอาการตับอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารอีกครั้ง มีภาวะแทรกซ้อนเหมือนตับอักเสบทั่วไป ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการสมองเสื่อมจากโรคตับ (Hepatic Encephalopathy) และเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอล
- ควรใช้ยาพาราเซตามอลตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ โดยควรกินยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม 1-2 เม็ด/ครั้ง ทิ้งระยะห่างครั้งละ 4-6 ชั่วโมง และไม่ควรกินยามากกว่า 8 เม็ด/วัน
- ผู้ป่วยที่มีสภาวะการทำงานของตับผิดปกติ หรือมีโรคตับควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาเพื่อปรับขนาดตัวยาที่ใช้อย่างเหมาะสม
- ห้ามใช้ยาพาราเซตามอลกับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาตัวนี้ โดยอาการแพ้ยาพาราเซตามอลที่สังเกตได้ คือ มีผื่นขึ้นตามตัว มีอาการบวมที่หน้าและริมฝีปาก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรือหากมีอาการเหล่านี้หลังกินยาพาราเซตามอลควรเข้าพบแพทย์ทันที
- ตรวจสอบวันหมดอายุของยาก่อนใช้งาน และห้ามใช้ยาหมดอายุ
วิธีเก็บรักษา ยาพาราเซตามอล
- ควรเก็บยาพาราเซตามอลในภาชนะบรรจุภัณฑ์เดิมที่บรรจุมาด้วยการปิดให้สนิท หรือหากเป็นตัวยาแบบแผงควรระมัดระวังไม่ให้เกิดรอยฉีกขาด
- เก็บยาให้พ้นแสงแดดและความร้อน หลีกเลี่ยงการเก็บยาไว้ในที่ที่อุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยงในบ้าน
- หลีกเลี่ยงการเก็บยาไว้ในที่เปียกหรือชื้น เช่น ในห้องน้ำ อ่างล้างมือ อ่างล้างหน้า เนื่องจากความชื้นอาจเป็นสาเหตุให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพได้
สรุป
ยาพาราเซตามอลหรือตัวยาที่มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า อะเซตามีโนเฟน นับเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายเนื่องจากเป็นตัวยาที่ไม่อันตราย สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้า ร้านขายยาทั่วไป ราคาไม่แพงและช่วยบรรเทาปวดในระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดประจำเดือน นอกจากนี้ตัวยาพาราเซตามอลยังมีส่วนชักนำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงและช่วยลดไข้ได้ เพื่อการใช้ยาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ผู้ใช้จึงควรปฏิบัติตามวิธีการใช้ยาพาราเซตามอลที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำด้วยการกินยาพาราเซตามอลเท่าที่จำเป็น กินยาเมื่อมีอาการไม่กินล่วงหน้าเพื่อป้องกัน รวมถึงใช้ตัวยาในปริมาณที่เหมาะสม คือ กินยาขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง และไม่ควรกินยาเกิน 8 เม็ดต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีสภาวะการทำงานของตับผิดปกติหรือมีโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนการใช้ยา
ข้อมูลจาก
ภญ.นันทพร เล็กพิทยา
หัวหน้างานเภสัชกรรมคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่
Website: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/
Website Rama mahidol : https://www.rama.mahidol.ac.th/
Facebook: https://www.facebook.com/ramachannel