Bulletin (October - December 1998 Vol.6 No.4)
ในอดีตเรามีสบู่ใช้ในการทำความสะอาดร่างกาย เสื้อผ้า และ ของใช้ต่างๆ ถึงแม้ว่าสบู่จะเป็นสารที่มีอันตรายน้อย แต่ก็มีความจำกัดอยู่พอสมควร เนื่องจากในบางภาวะสบู่อาจจะไม่สามารถทำงานได้ดี เช่นกรณีของน้ำกระด้างที่ทำให้สบู่ไม่แตกฟอง จึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดขึ้น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เรียกว่า "synthetic detergent" หรือ "detergent" ผงซักฟอกเป็นผลิตภัณฑ์แรกของผลิตภัณฑ์ในประเภทนี้ ต่อมาได้มีการดัดแปลงปรับปรุงจนได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเพาะเจาะจง ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ซึ่งแบ่งได้เป็น
- ผงซักฟอก
- น้ำยาล้างจาน
- น้ำยาทำความสะอาดพื้น
- น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์
- น้ำยาเช็ดกระจก
- น้ำยาฟอกผ้าขาว (Bleach)
- น้ำยาปรับผ้านุ่ม
- สารแก้ไขท่อน้ำอุดตัน (Unplug drains)
- ในปัจจุบันเกือบทุกบ้านเรือนจะสามารถพบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ไม่ต่ำกว่า 1-2 ชนิด เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้เกิดปัญหาจากผู้ป่วยรับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่เสมอๆ จากสถิติของศูนย์พิษวิทยาปี พ.ศ. 2540 พบว่า มีการปรึกษาจากแพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ เกี่ยวกับปัญหาของผู้ป่วยที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นอันดับ 2 รองจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เนื่องจากความหลากหลายของสารเหล่านี้มีมาก จนเป็นการยากที่แพทย์และพยาบาลโดยทั่วไปจะจดจำได้หมด แต่ถ้าหากนำมาวิเคราะห์ดูแล้วก็จะพบว่าไม่ยากเกินไปที่จะเข้าใจผลิตภัณฑ์เหล่านี้ และสามารถวางแนวทางในการดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไป
-
ส่วนประกอบสำคัญของ detergent คือสารที่เรียกว่า "surfactant" ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยให้น้ำสามารถแทรกซึมเพื่อชะล้างละลายสิ่งสกปรกต่างๆ ได้ดีขึ้น surfactant ที่มีใช้ใน detergent สามารถแบ่งออกเป็น (ตารางที่ 1)
- Nonionic ได้แก่สารพวก alcohol ethoxylates
- Anionic ได้แก่พวก linear alkyl sulfonates
- Cationic ได้แก่สารประกอบของ quaternary ammonium
-
เพื่อให้ detergent ทำงานได้ดีขึ้น บางครั้งจึงมีการเติมสารพวก "builder" ช่วยปรับรักษา pH หรือลด ion ของ calcium เพื่อลดความกระด้างของน้ำลง detergent จึงทำงานได้ดีขึ้น สารพวกนี้ได้แก่ sodium carbonate, sodium metasilcate, sulfate, tripolyphosphate นอกจากนั้นยังมีการเติมสารอื่นๆอีก เพื่อให้มีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่แตกต่างจาก detergent ทั่วๆไปอีก ซึ่งเมื่อนำสารทั้ง 8 กลุ่มมาแยกตามส่วนประกอบแล้ว จะได้นี้คือ
- ผงซักฟอก : Anionic-nonionic detergent
- น้ำยาล้างจาน : Nonionic dertergent
- น้ำยาทำความสะอาดพื้น : Anionic-nonionic detergent
- น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ ์: Anionic-nonionic detergent (+) Acid หรือ hypochlorite
- น้ำยาเช็ดกระจก : Nonionic detergent + isopropanol หรือ ammonia
- น้ำยาปรับผ้านุ่ม : Cationic detergent
- น้ำยาฟอกผ้าขาว : hypochlorite หรือ hydrogen peroxide + surfactant
- สารแก้ไขท่อน้ำอุดตัน : sodium hydroxide (NaOH) หรือ enzymes + microorganism
- ในแง่ของความเป็นพิษต่อมนุษย์ สารพวก surfactant มักจะมีผลส่วนใหญ่เป็น local irritant อาการทาง systemic ถึงแม้จะมีบ้างแต่พบได้น้อย พวก Nonionic และ Anionic surfactant จัดเป็นพวก nontoxic ถึง mild irritant อาจจะทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไป มีอาการปวดแสบท้องและอาเจียนได้ ส่วนพวก Cationic detergent จะมีฤทธิ์ระคายเคืองมากกว่า อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของภยันตรายที่เกิดกับระบบทางเดินอาหารนั้น โดยทั่วไปขึ้นกับปริมาณ, ความเข้มข้นของสาร, ระดับ pH หรือปริมาณของอาหารขณะรับประทานเป็นส่วนประกอบ สารที่มีความเข้มข้นไม่มากแต่ปริมาณที่ได้รับมากก็อาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงได้เช่นเดียวกัน หรือ รับประทาน surfactant ขณะที่ท้องว่างก็จะเกิดภยันตรายได้มากกว่าเมื่อกระเพาะอาหารมีอาหารอยู่มาก
- ถ้าพิจารณาจากส่วนประกอบแล้ว นอกจากอาการเฉพาะที่จาก surfactant ซึ่งจะมีมากหรือน้อยแล้วแต่ปัจจัยที่ได้กล่าวถึงแล้ว สารที่ได้ร่วมด้วยจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษได้ เช่น กรณีของ builder บางตัวทำให้ pH ของ detergent เป็นด่างได้มาก ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็เกิดอันตรายจาก pH ซึ่งเกิดจาก builder มากกว่าพวก surfactant นอกจากนั้นอาจจะมี hypochlorite, กรด HCl ซึ่งจะพบในผลิตภัณฑ์นี้เป็นสูตรพิเศษของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสุขภัณฑ์และกำจัดคราบสนิม หรือฆ่าเชื้อโรค
- ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาวมักจะเป็น hypochlorite หรือ hydrogen peroxide ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงกว่า โชคดีที่ผลิตภัณฑ์ตามบ้านเรือนมักจะมีความเข้มข้นของสารเหล่านี้ต่ำ (<6%) เมื่อเทียบกับในโรงงานซึ่งจะมีความเข้มข้นสูงกว่า
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือนที่อันตรายมากอีกชนิดหนึ่งคือ ผลิตภัณฑ์แก้ไขท่อน้ำอุดตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น NaOH ทำให้เกิดภยันตรายต่อทางเดินอาหารที่รุนแรงได้ ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์ในบ้านเรือนเหล่านี้จะมีความหลากหลายด้วยส่วนประกอบของ surfactant กับสารอื่น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงทำให้เกิดภยันตรายต่อระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นกรด ด่าง หรือ irritant เพียงแต่ว่าความรุนแรงอาจจะมีตั้งแต่ nontoxic ไปจนถึงกับเป็น corrosive agent (เช่นกรณีของ NaOH หรือ HCl) ถ้าหากเป็น nontoxic หรือ mild irrtation ก็เกือบจะไม่ต้องรักษาแต่ประการใด แต่หากว่าเป็น corrosive agent ก็จะต้องรักษาเหมือนการรับประทานกรดหรือด่างโดยทั่วๆไป คือ ไม่ทำให้อาเจียน หลีกเลี่ยงการใส่สายสวนล้างกระเพาะอาหาร ระวังเรื่องระบบทางเดินหายใจ ให้ IV fluid และพิจารณาทำ gastroscope เพื่อประเมินความรุนแรงของภยันตรายที่เกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงแรก หลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานผลิตภัณฑ์นั้น
- เราจะสามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับภยันตรายแบบไหน ก็โดยอาศัยประวัติว่ารับประทานผลิตภัณฑ์ชนิดใด ซึ่งจะต้องเน้นไปถึงสูตรไหนของผลิตภัณฑ์นั้น เพราะชื่อเดียวกันอาจจะมีหลายสูตรที่ทำให้ส่วนผสมต่างกันได้มาก เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำชื่อ"เป็ด" มีอยู่ทั้งสิ้น 5 สูตร บางสูตรมีเพียงส่วนผสมของ surfactant 2 ชนิดเท่านั้น แต่บางสูตรมี HCl หรือ hypochlorite ร่วมด้วย เมื่อได้ชื่อที่แน่ชัดแล้ว หากสามารถติดต่อเข้ามาที่ศูนย์พิษวิทยาได้ ก็จะได้รายละเอียดโดยง่ายว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีสารที่เป็นอันตรายมากหรือไม่
- การศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับประทานสารประเภท corrosive agent พบว่าส่วนใหญ่อาการของผู้ป่วยจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความรุนแรงของภยันตรายต่อระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี มีเพียง 1/8 ของผู้ป่วยที่ไม่มีอาการอะไรเลยหลังรับประทานสารประเภทนี้ แล้วตรวจพบว่ามีแผลในระบบทางเดินอาหาร แต่ถ้าผู้ป่วยมี 2 ใน 3 ของอาการต่อไปนี้คือ กลืนลำบาก, อาเจียน, หายใจลำบาก โอกาสเกิด significance esophageal injury จะมีสูงถึง 50% เมื่อประเมินความรุนแรงที่ได้จากประวัติข้างต้นแล้ว แนวทางในการรักษาก็เป็นไปตาม (รูปที่ 1)
- แม้ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเหล่านี้จะมีความหลากหลายในชื่อและส่วนประกอบของสารเคมี แต่เมื่อได้อ่านบทความนี้แล้ว คงจะไม่ยากเกินไปที่จะทำความเข้าใจและให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมต่อไป
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
|