ท่ามกลางแสงแดดรำไร ณ ทุ่งนาแห่งหนึ่งในอำเภอศรีประจันทร์ จังหวัดสุพรรณบุรี ข้าวส่วนใหญ่แตกรวงเป็นสีทองเกือบหมดแล้ว ฉันมองดูรวงข้าวเหล่านั้นด้วยความภาคภูมิใจ สายลมเย็น ๆ พัดมากระทบใบหน้า รวงข้าวโอนเอนตามสายลมนั้นช้า ๆ ทำให้ฉันมองเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ในรวงข้าวสีทองอร่ามตา
‘แม่แก้ว’ หญิงผู้แข็งแกร่งและสู้ชีวิต ปีนี้อายุย่างเข้าปีที่ 54 แล้ว แม่แก้วแต่งงานกับพ่อละอองตั้งแต่อายุ 19 ปี และมีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นผู้ชาย กำลังจะแต่งงาน และคนเล็กเป็นผู้หญิง ซึ่งก็คือตัวฉันเอง
ฉันเป็นพยาบาลที่หน่วยเยี่ยมบ้าน ในทุก ๆ วัน ฉันจะใส่ชุดพยาบาลสีฟ้าไปทำงาน ฉันทำหน้าที่ในการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง เพื่อเตรียมญาติสำหรับดูแลผู้ป่วย เตรียมผู้ป่วยสำหรับการดูแลตนเองก่อนกลับบ้าน และติดตามเยี่ยมบ้านเมื่อโรงพยาบาลจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว
ครอบครัวของแม่แก้วเป็นครอบครัวเล็ก ๆ มีอาชีพทำนาและทำไร่ ฐานะปานกลาง พอมีพอกิน แม่แก้วเคยบอกกับฉันว่า “กว่าจะมีวันนี้ได้ก็ผ่านความลำบากมามาก แม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาเก็บผักผลไม้ พวกฟักแฟงหรือแตงโม แล้วทั้งแบกทั้งหามเพื่อที่จะเอาไปขายที่ตลาดในตอนเช้ามืด”
ถึงฉันจะอายุมากกว่าน้องคนนี้หลายปี แต่น้องได้สอนบทเรียนที่มีค่ากับฉันมาก สอนด้วยการลงมือทำหรือปฏิบัติให้ดู แล้วเขาทำได้ดีมาก เป็นคนที่พร้อมจะจากไป โดยมีสติอยู่ตลอดเวลา ทำให้ฉันกลับมาทบทวนกับตัวเองว่า ฉันได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าหรือยัง ได้พัฒนาตัวเองเต็มที่หรือยัง ได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ มากพอหรือยัง ได้ตอบแทนผู้มีพระคุณมากพอหรือยัง ..
ในระยะหลัง ๆ นั้น ฉันสังเกตเห็นว่าท่านเดินได้ไม่ถึง 10 ก้าวก็ต้องหยุดพักจากอาการปวดเข่า และเริ่มเดินตัวเอียงมากขึ้น ฉันตัดสินใจคุยกับแม่อีกครั้งเพื่อให้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ครั้งนี้แม่ยอมมาโรงพยาบาลเพราะอาการปวดเข่าที่รุนแรงขึ้น หลังจากที่แม่ได้พบแพทย์แล้ว แพทย์วินิจฉัยว่าแม่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมทั้งสองข้าง และจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าทีละข้าง
แม่แก้วกลัวการผ่าตัดจึงไม่ยอมมา และกลับไปกินยาแก้ปวดที่คลินิกเช่นเดิม ประกอบกับกินยาสมุนไพรควบคู่ไปด้วย ฉันได้แต่คิดในใจว่า ‘ทำไมแม่ถึงดื้ออย่างนี้’ เมื่อระยะเวลาผ่านไปเกือบปี แม่เดินตัวเอียงไปด้านขวาและปวดเข่ารุนแรงมากขึ้น จนแม่บอกฉันว่าปวดมากจนทนไม่ไหวแล้ว ฉันจึงพาแม่มาพบแพทย์ที่ แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้ออีกครั้ง แพทย์นัดวันเพื่อผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าให้ทันที หลังผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย แม่แก้วมีสีหน้าแจ่มใส ยังคงมีอาการปวดแผล แต่แพทย์ให้ยาแก้ปวดแล้วอาการปวดทุเลาลงได้ดี แม่แก้วนอนพักรักษาตัว 2 คืน 3 วัน หลังจากนั้นแพทย์จึงให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน ฉันจึงลางานเพื่อมาดูแลแม่
วันนี้แม่แก้วมีอาการปวดแผลผ่าตัดบริเวณเข่า ปวดศีรษะ อารมณ์หงุดหงิด และรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เพราะเวลาจะทำอะไรต้องพึ่งพาลูก ๆ เสมอ ฉันแนะนำเรื่องการบรรเทาอาการปวดและให้แม่ฝึกทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเอง แต่แม่ไม่อยากทำ ฉันเริ่มหงุดหงิดพลางคิดในใจอีกแล้วว่าทำไมแม่ถึงดื้อแบบนี้ เวลาที่ฉันแนะนำผู้ป่วยอื่น ๆ ทำไมไม่ดื้อแบบแม่ของฉัน ฉันพยายามควบคุมตัวเองแต่ฉันกลับพูดเสียงดังกับแม่ จนกระทั่ง... แม่ร้องไห้
“เคยเข้าใจคนไข้บ้างมั้ยว่ารู้สึกยังไง” แม่ถามฉัน
ฉันอึ้งไปชั่วขณะ และคิดได้ว่าขณะนี้ฉันมีหน้าที่เป็นผู้ดูแลไม่ใช่พยาบาล ฉันต้องทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลให้เต็มที่ ต้องรับฟังปัญหาของแม่ ไม่ใช่ให้แม่ทำตามที่ฉันต้องการ ฉันกราบขอโทษแม่
“ไม่มีแม่คนไหนโกรธลูกตัวเองได้ลงหรอก” แม่พูดทั้งน้ำตา
ดวงตาของฉันเริ่มแดง แล้วน้ำตาก็ไหลริน ฉันกอดแม่ แม่กอดฉัน... เรากอดกันร้องไห้
วันต่อมาอาการปวดเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้น แต่แม่แก้วกลับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ และปวดศีรษะรุนแรง ฉันจึงพาแม่มาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์ตรวจร่างกายและเจาะเลือด พบว่ามีความดันโลหิตต่ำและเกลือแร่ในเลือดต่ำ ส่วนอาการที่แม่มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงนั้น แพทย์จึงให้ทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งพบว่าแม่มีปัญหาสมองบวม ฉันเดินเข้าออกที่ห้องฉุกเฉินอยู่หลายชั่วโมงด้วยความเป็นห่วงแม่ และในที่สุดแพทย์บอกว่ากับฉันว่าต้องให้แอดมิท เนื่องจากต้องสังเกตอาการ หาสาเหตุ และให้การรักษาให้ดีขึ้น
‘เตียงในโรงพยาบาลรามาธิบดีหายากยิ่งกว่าทองคำ’ ฉันนึกเปรียบเทียบในใจ เพราะแพทย์ได้บอกกับฉันว่าต้องให้แม่นอนที่ห้องฉุกเฉินก่อน เนื่องจากเตียงบนหอผู้ป่วยนั้นยังเต็มอยู่ด้วยกัน’
ฉันมองแม่ที่กำลังนอนอยู่บนรถนอน แม่แก้วต้องใส่สายออกซิเจนที่จมูก (O2 Cannula) และใส่สายสวนปัสสาวะ ขอบตาของฉันร้อนผ่าว ฉันรีบหันหน้าหนีเพื่อไม่ให้แม่เห็นน้ำตา ฉันไม่อยากให้แม่รู้ว่าฉันกำลังอ่อนแอ
“แม่เป็นอะไรมากหรือลูก” แม่พูดกับฉันทั้งน้ำตา “แม่เจ็บ แม่อยากเอาสายสวนออกได้มั้ย”
วินาทีนั้นฉันรู้สึกเจ็บและสงสารแม่จับใจ ฉันได้แต่เพียงจับมือและบอกแม่ว่า “หนูอยู่ตรงนี้นะ แม่ไม่ต้องกลัว หนูจะอยู่ข้าง ๆ แม่ตลอดเวลานะ” ฉันเช็ดน้ำตาให้แม่ และแอบหลบไม่ให้แม่เห็นว่าฉันร้องไห้ ฉันคิดในใจว่าเวลานี้ฉันต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นกำลังใจให้แม่ เพื่อให้แม่ต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ พ่อละอองเดินทางจากสุพรรณบุรีเพื่อมาเฝ้าแม่แก้วในช่วงกลางวันสลับกับฉันซึ่งอยู่กับแม่ในช่วงกลางคืน
พ่อนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน ฉันแอบเห็นพ่อนั่งสัปหงกเอาศีรษะพิงเสาแล้วผลอยหลับไป บางครั้งพ่อก็กินขนมโดยใช้มือเปล่าจับ ฉันจะหาช้อนให้พ่อ แต่พ่อไม่อยากให้ฉันต้องลำบาก
“แค่มือเปื้อน เดี๋ยวพ่อล้างเอาก็ได้ ลูกอย่าลำบากเลย” พ่อบอกฉัน
ฉันได้แต่สงสารพ่อกับแม่เหลือเกิน ‘ช่วงเวลานี้คือช่วงที่ครอบครัวของฉันอยู่ในภาวะวิกฤติใช่มั้ย’ ฉันคิดในใจ แต่ยังไงฉันก็ต้องสู้
ฉันพยายามติดต่อหาเตียงเพื่อย้ายแม่ไปยังหอผู้ป่วย แต่ความพยายามของฉันไม่สำเร็จ ยังคงไม่มีเตียงไหนว่างเลยในโรงพยาบาลรามาธิบดี แม่แก้วนอนที่ห้องฉุกเฉินทั้งหมด 2 คืน 3 วัน
ในการนอนเฝ้าญาติที่ห้องฉุกเฉินนั้น ฉันเข้าใจหัวอกคนเป็นญาติได้เป็นอย่างดี ในคืนแรกนั้นพี่ชายของฉันอาสาตากยุงเพื่อเฝ้าแม่ ให้ฉันกลับบ้านไปนอนพักหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ในคืนที่สองนั้น ฉันโชคดีมากที่มีญาติคนไข้อื่น ๆ ให้ยืมมุ้งมากาง เนื่องจากยุงเยอะมาก และอีกคนให้ฉันยืมเสื่อและผ้าขนหนูผืนบางมาหนุนศีรษะแทนหมอน นอนบนพื้นซีเมนต์ จะด้วยความสงสาร เห็นใจ หรืออย่างไรไม่ทราบได้ แต่ฉันรู้สึกประทับใจในน้ำใจของพวกเขาเหล่านั้นอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าฉันและพวกเขาจะเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ความมีน้ำใจที่พวกเขามอบให้ฉันเป็นสิ่งที่ฉันประทับใจไม่เคยลืม
ฉันมุดเข้าไปนอนในมุ้งแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน หยดน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ฉันมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งสับสน ทั้งท้อแท้ ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่าต้องสู้ ห้ามอ่อนแอ ต้องเป็นกำลังใจให้แม่ผ่านพ้นภาวะวิกฤตินี้ไปให้ได้
ฉันคิดว่าฉันทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้มา 6 ปี ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย ให้คำแนะนำ และทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ แต่พอถึงเวลาที่ต้องมาดูแลแม่ของตัวเอง กลับต้องมารอคอยเตียงผู้ป่วยซึ่งไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ แม้แต่ที่นอนก็ไม่มี มีแค่เสื่อหนึ่งผืน หมอนหนึ่งใบ และมุ้งอีกหนึ่งหลังที่มีคนอื่น ๆ ให้ยืมมา
ฉันไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในประสบการณ์ครั้งนี้ออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันคิดแต่เพียงว่า ถ้าแม่ของฉันเป็นอะไรไปในวันนั้น ฉันคงไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต และนับตั้งแต่วินาทีนั้นมา ฉันจะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพยาบาลและเป็นทั้งผู้ดูแลในเวลาเดียวกันให้ดีที่สุด ถึงแม้จะมีเพียงแค่เสื่อผืน หมอนใบ และมุ้งอีกหนึ่งหลัง ลำบากเพียงเท่านี้ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่แม่ลำบากมาเพื่อฉัน สู้มาเกือบทั้งชีวิต เหนื่อยกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า มันไม่เท่าสิ่งที่แม่ทำให้ฉัน ฉันต้องทำให้แม่ให้ดีที่สุด และมันยังทำให้ฉันได้รู้ว่า
‘ผู้ป่วยและญาติที่มารักษาที่ห้องฉุกเฉินก็คงไม่ต่างจากฉัน ไม่มีที่นอน ไม่มีหมอน ไม่มีมุ้ง แต่เขาก็ต้องสู้เพื่อให้บุคคลอันเป็นที่รักของเขากลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน’
แม่ถามฉันเป็นระยะว่าได้เตียงหรือยังเพราะแม่นอนไม่หลับมาหลายคืน จนกระทั่งในที่สุดความโชคดีก็มาถึงจนได้ แม่แก้วได้รักษาตัวที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง หอผู้ป่วยที่ฉันเป็นผู้ดูแล
แม่แก้วนอนที่โรงพยาบาลทั้งหมด 5 วัน 4 คืน เมื่ออาการดีขึ้นแพทย์จึงให้กลับบ้าน แม่แก้วหน้าตาสดใส ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น ต่อจากนี้ไปฉันต้องดูแลแม่ให้ดีกว่าเดิม
และวันนี้ ...
ฉันได้มายืนดูแม่ที่กลับมาแข็งแรงอีกครั้งท่ามกลางทุ่งนาที่แม่รัก
และฉัน ... ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ได้ดี ทั้งบทบาทพยาบาลและบทบาทผู้ดูแล
เพื่อคนที่ฉันรักและรักฉันมากที่สุด