ทุเรียนได้รับขนานนามว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและพลังงานเป็นจำนวนมาก แต่หากกินมากไปก็จะเกิดอันตรายกับร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรเลือกกินให้ถูกวิธี
โดยปริมาณที่แนะนำหากรับประทานต่อวัน คือ 2 เม็ดเล็ก หรือประมาณ 100 กรัม เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง นอกจากมีคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังเป็นหนึ่งในผลไม้ไม่กี่ชนิดที่มีไขมันอยู่ด้วย ทำให้ในทุเรียน 100 กรัมมีพลังงานสูงถึง 140-170 กิโลแคลอรี (ฝรั่ง 100 กรัมให้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี)
นอกจากพลังงานแล้ว สารอาหารอื่น ๆ อย่างวิตามินและแร่ธาตุ ก็มีมากไม่แพ้กันทั้งใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุ โดยทุเรียน 100 กรัม หรือ 2 เม็ดเล็กมีใยอาหารสูงถึง 3.8 กรัม โพแทสเซียมสูงถึง 436 มิลลิกรัม วิตามินซีสูงถึง 41% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน ซึ่งใยอาหารก็จะช่วยในเรื่องการขับถ่าย โพแทสเซียมช่วยการหดคลายตัวของกล้ามเนื้อ ควบคุมความดันโลหิต และวิตามินซี มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย นอกจากนี้ทุเรียนยังอุดมด้วยโฟเลตหรือวิตามินบี 9 และประกอบด้วยสารพฤกษเคมีกลุ่มแคโรทีนอยด์ โดยเฉพาะบีตาแคโรทีน จะพบมากในทุเรียนที่มีสีเหลืองเข้ม โดยทั้ง 2 ชนิดก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ โฟเลต บำรุงสมอง และช่วยในการแบ่งเซลล์ของร่างกาย ส่วนเบต้าแคโรทีนช่วยบำรุงผิวพรรณและสายตา ต้านอนุมูลอิสระ
อย่างที่กล่าวไปว่าทุเรียน เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยใน 100 กรัมจะมีคาร์โบไฮเดรต ประมาณ 30 กรัม หรือเทียบกับข้าวสวยประมาณ 2 ทัพพี และที่สำคัญยังมีปริมาณน้ำตาลที่สูงถึง 15 กรัม (3 ช้อนชา) ดังนั้น คนที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล อย่างเช่นคนที่เป็นเบาหวาน ควรระมัดระวังปริมาณที่รับประทานและควรแยกจากอาหารมื้อหลักเพื่อเลี่ยงปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป ส่วนคนที่เป็นโรคไต และภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ก็ควรระมัดระวังปริมาณการรับประทานเช่นเดียวกัน
ขณะที่คนทั่วไปยังสามารถกินได้ตามปกติ แต่ควรจำกัดปริมาณแค่ 2 เม็ดเล็กต่อวัน ยกเว้นว่าถ้ากินผลไม้ชนิดอื่นร่วมด้วยจะต้องลดปริมาณทุเรียนลงเพื่อควบคุมไม่ให้ได้รับพลังงานและปริมาณน้ำตาลมากจนเกินไป หรืออาจใช้การแลกเปลี่ยนอาหารด้วยการกินทุเรียน 1 เม็ด แทนข้าว 1 ทัพพี ก็ได้เช่นกัน
แม้ทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารอยู่มากมาย แต่หากกินโดยไม่ระวังก็อาจเกิดผลเสียกับร่างกายได้ ดังนั้นหากต้องการกินก็ควรควบคุมปริมาณให้ดี ไม่ให้มากจนเกินไป