โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease: CAD) เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องมีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุของคนไข้ให้ยาวนานขึ้น ด้วยการปรับพฤติกรรมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกระทำได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ ภาวะที่หลอดเลือดแดงที่ส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการแคบลงหรือตีบตัน สาเหตุมาจากการสะสมของไขมัน คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ที่ผนังหลอดเลือด เมื่อหลอดเลือดตีบจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง กล้ามเนื้อหัวใจจะได้รับเลือดและออกซิเจนน้อยลง จนเกิดอาการเจ็บหน้าอก หรือในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการ
อาการหลอดเลือดหัวใจตีบอาจไม่แสดงจนกว่าโรคจะอยู่ในระยะรุนแรง อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่:
- เจ็บแน่นหน้าอก
- เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
- หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและเรื้อรัง
- ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
- หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
สามารถศึกษาเรื่องสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มเติมได้ที่นี่
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง โดยสามารถแบ่งได้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ ดังนี้
1. ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
- อายุ : อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น
- เพศ : เพศชายเป็นได้มากกว่าเพศหญิง หากในวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับเพศชาย
- ประวัติครอบครัว : พ่อ แม่ พี่ น้อง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ
2. ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เปลี่ยนแปลงได้
- สูบบุหรี่
- ไขมันในเลือดสูง
- โรคความดันโลหิตสูง
- ไม่ออกกำลังกาย
- น้ำหนักมากหรืออ้วน
- โรคเบาหวาน
- กินอาหารไม่มีประโยชน์
- ความเครียด
ผลกระทบหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้หรือรู้ตัวช้า ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตามเวลา เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง ไขมันจะเริ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้หลอดเลือดตีบหรือแคบลง ส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการปริแตกของหลอดเลือด เกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินของหลอดเลือด และเมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเกินร้อยละ 50 คนไข้จะเริ่มมีอาการแสดง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากคนไข้พบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอก หรืออาการอื่นที่กล่าวมาข้างต้น คนไข้จะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที และเจาะเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของหัวใจ หากสูงขึ้นแสดงว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ ร่วมกับซักประวัติคนไข้ สอบถามระยะเวลาที่เจ็บแน่นหน้าอก หากมากกว่า 20 นาที อาจเกี่ยวข้องกับอาการหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รักษาอย่างไร
- หากหลอดเลือดตีบตันเพียงบางส่วน รักษาด้วยยา
- หากหลอดเลือดตันมาก รักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจ
- หากไม่สามารถทำบอลลูนหัวใจได้ รักษาด้วยการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ
การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาสุขภาพหัวใจและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้ โดยมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง (ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม ลดน้ำหนักตัว)
- กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
- กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
- กินอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังกินอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลังการรักษาแพทย์จะให้คนไข้ฝึกเดิน จากนั้นควรเพิ่มระยะเวลาทีละน้อย
- ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน ลดความเครียด
- ไม่สูบบุหรี่
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ผ่านการดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และอาหารเค็มจัด
- กินอาหารที่มีไขมันน้อย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
- ควบคุมน้ำหนัก
- ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
สรุป
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีความเสี่ยงสูงและอันตราย หากไม่ดูแลตนเองอย่างถูกต้อง แต่หากปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม การรักษาโรคนี้สามารถยืดอายุการใช้งานของหัวใจได้อีกยาวนาน ควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต
ข้อมูลจาก
ผศ. ดร.อภิญญา ศิริพิทยาคุณกิจ
อาจารย์พยาบาล โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ