เฮอร์แปงไจนา (herpangina) เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนหรือช่วงที่โรคติดเชื้อไวรัสแพร่ระบาด แม้ว่าอาการจะดูคล้ายโรคมือ เท้า ปาก แต่โรคนี้มีลักษณะเฉพาะที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจและระมัดระวัง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจโรคเฮอร์แปงไจนาในแง่มุมต่าง ๆ ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษา
โรคเฮอร์แปงไจนา (herpangina) คือ
โรคเฮอร์แปงไจนา (herpangina) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากไวรัสกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส (enterovirus) ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในสถานที่ที่มีเด็กอยู่ร่วมกัน เช่น โรงเรียน ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก หรือสนามเด็กเล่น
ลักษณะเด่นของโรคเฮอร์แปงไจนาคือการเกิดแผลพุพองในบริเวณช่องปากและลำคอ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอรุนแรงและกลืนอาหารได้ลำบาก โรคเฮอร์แปงไจนามีความคล้ายคลึงกับโรคมือ เท้า ปาก เนื่องจากทั้งสองโรคเกิดจากไวรัสในกลุ่มเดียวกัน แต่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น โรคเฮอร์แปงไจนามีแผลพุพองเฉพาะในลำคอ ขณะที่โรคมือ เท้า ปาก จะมีตุ่มน้ำใสบนมือ เท้า และรอบปากร่วมด้วย
โรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงสำหรับเด็กส่วนใหญ่ แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
สาเหตุของ โรคเฮอร์แปงไจนา
- ไวรัสกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส เป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ
- การติดต่อทางการสัมผัส ผ่านทางละอองฝอยจากการไอหรือจาม รวมถึงการสัมผัสของเล่นหรือพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัส
- สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม เช่น การล้างมือไม่สะอาด หรือการใช้ภาชนะร่วมกับผู้ติดเชื้อ
อาการของโรคเฮอร์แปงไจนา เป็นอย่างไร
- แผลพุพองขนาดเล็กในลำคอและเพดานปาก
- เจ็บคออย่างรุนแรง ทำให้กลืนอาหารและน้ำได้ลำบาก
- เบื่ออาหาร ร้องไห้งอแง (ในเด็กเล็ก)
- อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วยในบางกรณี
หากพบว่าลูกมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที
โรคเฮอร์แปงไจนา ติดต่อได้อย่างไร ?
โรคเฮอร์แปงไจนาสามารถติดต่อได้ง่ายผ่าน:
- ละอองฝอย การไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ
- การสัมผัสโดยตรง กับน้ำลาย น้ำมูก หรือของเล่นที่มีเชื้อไวรัส
- การปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นผิวหรือของใช้ส่วนตัว
การติดต่อรวดเร็วและง่ายดาย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ
โรคมือ เท้า ปาก VS เฮอร์แปงไจนา แตกต่างกันอย่างไร ?
โรคมือ เท้า ปาก และโรคเฮอร์แปงไจนา เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส (enterovirus) และพบได้บ่อยในเด็กเล็ก ทั้งสองโรคมีลักษณะอาการที่ใกล้เคียงกัน แต่ยังมีความแตกต่างสำคัญที่ช่วยให้สามารถแยกแยะได้ ดังนี้
อาการเด่นของโรค
- โรคมือ เท้า ปาก
- ผื่นหรือตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นที่ มือ เท้า และรอบปาก
- อาจมีแผลในปากที่ทำให้เจ็บและกลืนลำบากร่วมด้วย
- โรคเฮอร์แปงไจนา
- มีแผลพุพองขนาดเล็กใน ลำคอและเพดานปาก
- อาการเจ็บคอรุนแรงจนทำให้กลืนอาหารหรือน้ำลำบาก
บริเวณที่เกิดผื่นและแผล
- โรคมือ เท้า ปาก ผื่นจะเกิดในบริเวณผิวหนัง เช่น มือ ฝ่าเท้า และรอบปาก รวมถึงภายในช่องปาก
- โรคเฮอร์แปงไจนา แผลพุพองจะจำกัดอยู่ในบริเวณลำคอและช่องปากเท่านั้น
การป้องกันโรคเฮอร์แปงไจนา
โรคเฮอร์แปงไจนาเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในสถานที่ที่เด็กอยู่รวมกัน การป้องกันโรคนี้เน้นการรักษาสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อไวรัส วิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่
1. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
- สอนเด็กให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังเล่นของเล่น
- ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือในกรณีที่ไม่มีน้ำและสบู่ อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์ไม่สามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ก่อโรคมือเท้าปากหรือเฮอร์แปงไจนาได้
2. รักษาความสะอาดของของใช้ส่วนตัว
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะ อุปกรณ์รับประทานอาหาร หรือของเล่นร่วมกับผู้อื่น
- ซักล้างเสื้อผ้าและเครื่องนอนของเด็กเป็นประจำ
3. ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม
- เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวที่เด็กสัมผัสบ่อย เช่น ของเล่น โต๊ะ หรือที่จับประตู ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- หมั่นระบายอากาศในห้องเรียนหรือห้องเด็กเล่นเพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย
- หากพบว่ามีเด็กหรือคนในครอบครัวติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การกอด หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน
- ควรให้ผู้ป่วยหยุดเรียนหรือพักผ่อนที่บ้านจนกว่าจะหายสนิท
5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ให้เด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่
- ส่งเสริมการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
6. ติดตามข่าวสารการระบาด
- ผู้ปกครองควรติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของโรคในพื้นที่และหลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง
โรคเฮอร์แปงไจนาเป็นโรคที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจ เนื่องจากสามารถแพร่กระจายได้ง่ายในเด็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลที่ไวรัสระบาด การป้องกันและการดูแลสุขภาพของเด็กอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้ หากสงสัยว่าลูกติดเชื้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมทันที
ข้อมูลโดย
รศ. ดร. นพ.นพพร อภิวัฒนากุล
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “#เฮอร์แปงไจนา เด็กเล็กต้องระวัง“ ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ