“ข้อเข่าเสื่อม” อาจฟังดูเหมือนเป็นโรคของผู้สูงวัยเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งานข้อเข่าหนักเป็นประจำ เช่น ยืนหรือเดินนาน วิ่งหนัก หรือแม้แต่นั่งพับเพียบบ่อย ๆ โรคนี้สร้างผลกระทบทั้งด้านสุขภาพกายและคุณภาพชีวิต เพราะเมื่อข้อเข่าเริ่มเสื่อม จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ทำให้รู้สึกเจ็บ ปวด หรือตึงข้อเข่า การป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มาทำความรู้จักข้อเข่าเสื่อมให้มากขึ้น พร้อมวิธีป้องกันที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน
ข้อเข่าเสื่อม คืออะไร
โรคข้อเข่าเสื่อม (knee osteoarthritis) เป็นภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเข่า ซึ่งทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกและช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น เกิดการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพลง เมื่อกระดูกอ่อนนี้เสื่อมสภาพ กระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งที่ข้อเข่าจะเสียดสีกันโดยตรง ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวด บวม และเคลื่อนไหวลำบาก
โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุเนื่องจากการใช้งานข้อเข่ามาเป็นเวลานาน แต่ก็สามารถเกิดขึ้นกับคนวัยทำงานหรือแม้แต่วัยรุ่นได้ หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักตัวเกิน การใช้งานข้อเข่าอย่างหนัก หรือเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า
สาเหตุของข้อเข่าเสื่อม
ข้อเข่าเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น
- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกอ่อนผิวข้อเข่าจะเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ทำให้ความยืดหยุ่นลดลง และเสี่ยงต่อการสึกหรอมากขึ้น
- น้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน น้ำหนักที่มากเกินไปเพิ่มแรงกดบนข้อเข่า ทำให้กระดูกอ่อนผิวข้อสึกหรอเร็วขึ้น
- การใช้งานข้อเข่าอย่างหนัก การทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่าซ้ำ ๆ เช่น การยกของหนัก การนั่งยอง หรือการขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมของข้อเข่า
- การบาดเจ็บที่ข้อเข่า อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่ข้อเข่า เช่น กระดูกหัก หรือการฉีกขาดของเอ็น สามารถนำไปสู่การเสื่อมของข้อเข่าในอนาคต
- โรคข้ออักเสบเรื้อรัง โรคข้ออักเสบ เช่น โรครูมาตอยด์ ข้ออักเสบจากโรคทางระบบภูมิคุ้มกัน โรคเกาต์ เป็นต้น สามารถทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อและนำไปสู่ข้อเข่าเสื่อมได้
- ข้อเข่าติดเชื้อ เมื่อมีการอักเสบติดเชื้อในข้อเข่าเชื้อโรคจะสร้างเอนไซด์ออกมาทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อ ทำให้เกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมในอนาคตได้
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต การขาดการออกกำลังกาย การนั่งหรือยืนนานเกินไป และการบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม
การเข้าใจถึงสาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อมจะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สัญญาณเตือนของโรคข้อเข่าเสื่อม
ข้อเข่าเสื่อมไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่จะค่อย ๆ แสดงอาการทีละน้อย หากสังเกตเห็นสัญญาณเตือนต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
1. เจ็บปวด หรือขัดในข้อเข่าเรื้อรัง
อาการเจ็บปวดบริเวณข้อเข่าเป็น ๆ หาย ๆ มานานกว่า 6 เดือน หรือมีอาการเจ็บปวดหลังจากทำกิจกรรมที่มีแรงกดต่อผิวข้อเข่า เช่น การเดินไกล ขึ้นลงบันได หรือนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน
2. ข้อเข่าติดหรือฝืดตึง
รู้สึกข้อเข่าแข็งตึง ขยับได้ลำบากโดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอนหรือหลังจากนั่งท่าเดิมนาน ๆ อาการจะดีขึ้นเมื่อเริ่มขยับเดินไปสักระยะนึง
3. มีเสียงในข้อเข่า
เมื่อเคลื่อนไหว อาจได้ยินเสียงกรอบแกรบหรือเสียงคลิกในข้อเข่า ซึ่งเป็นผลจากกระดูกอ่อนที่สึกหรอ
4. ข้อเข่าบวมและรู้สึกร้อน
บริเวณข้อเข่าเริ่มบวมแดงหรือรู้สึกร้อน อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบที่ต้องรีบดูแล
5. ข้อเข่าโก่งหรือผิดรูป
ในระยะที่รุนแรง อาจเริ่มเห็นข้อเข่าเปลี่ยนรูปทรง ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก
6. ข้อเข่ารู้สึกหลวม หรือไม่มั่นคง
รู้สึกว่าข้อเข่าไม่มั่นคง หรือมีอาการเข่าหลวม ซึ่งอาจเกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนและโครงสร้างภายในข้อเข่า
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การดูแลสุขภาพข้อเข่าอย่างถูกวิธีจะช่วยชะลอการเสื่อมและรักษาคุณภาพชีวิตให้ยืนยาว
แนวทางการรักษาข้อเข่าเสื่อม
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมีหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ ได้แก่
- การปรับพฤติกรรม เช่น ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องนั่งกับพื้น หรือมีการกระโดด
- การใช้ยา เช่น ยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบ หรือยาบำรุงข้อ
- การทำกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบเข่า
- การฉีดยาเข้าข้อ เช่น การฉีดกรดไฮยาลูโรนิกเพื่อหล่อลื่นข้อ บรรเทาอาการขัดในข้อเข่า
- การผ่าตัด ในกรณีที่ข้อเข่าเสียหายรุนแรง เช่น การผ่าตัดจัดแนวกระดูกแก้ไขการผิดรูป, ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบบางส่วนหรือแบบทั้งข้อเข่า เป็นต้น
การเลือกรูปแบบการรักษาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ป้องกันข้อเข่าเสื่อม ได้อย่างไร
แม้ว่าโรคข้อเข่าเสื่อมจะเป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นตามวัย แต่ด้วยการดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม สามารถลดความเสี่ยงและชะลอการเสื่อมของข้อเข่าได้ ดังนี้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน น้ำหนักตัวที่มากเกินไปเพิ่มแรงกดบนข้อเข่า ทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอเร็วขึ้น การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยสามารถลดแรงกดทับที่ข้อเข่าได้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่เหมาะสมช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงและลดแรงกดทับ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การกระโดดหรือวิ่งบนพื้นแข็ง
- หลีกเลี่ยงท่าทางที่เพิ่มแรงกดบนข้อเข่า หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ นั่งยอง ๆ หรือคุกเข่าเป็นเวลานาน เพราะท่าทางเหล่านี้เพิ่มแรงกดบนข้อเข่า ควรนั่งบนเก้าอี้ที่มีความสูงพอเหมาะและเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
- เลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสม รองเท้าที่มีพื้นรองรับแรงกระแทกและพอดีกับรูปเท้าช่วยลดแรงกดบนข้อเข่า หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน เพราะอาจเพิ่มแรงกดที่ข้อเข่าและทำให้เสื่อมเร็วขึ้น
- บริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า การเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เช่น กล้ามเนื้อต้นขา ช่วยพยุงข้อเข่าและลดแรงกระแทก การฝึกยืดเหยียดและการฝึกเสริมความแข็งแรง
- กินอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพ เช่น เนื้อปลา ไข่ และถั่ว รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินดีและแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและกระดูกอ่อน
- ลดความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บที่ข้อเข่า ระวังการบาดเจ็บที่ข้อเข่า เช่น การใช้อุปกรณ์พยุงข้อเข่าขณะออกกำลังกาย, ระมัดระวังการลื่นผลัดตกหกล้ม, หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง หากเกิดการบาดเจ็บควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันเวลา
โรคข้อเข่าเสื่อมอาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนวัยทำงานหรือวัยรุ่น แต่ความจริงแล้ว ทุกคนล้วนมีความเสี่ยงหากไม่ดูแลสุขภาพข้อเข่าอย่างเหมาะสม การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และแนวทางป้องกัน จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างคล่องแคล่วและปราศจากความเจ็บปวด หมั่นสังเกตร่างกาย ใส่ใจสุขภาพเข่าทุกวัน เพราะ “ข้อเข่า” เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวของเราในทุกช่วงวัย
ข้อมูลจาก
ผศ. นพ.กุลพัชร จุลสําลี
ศัลยกรรมกระดูกและข้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “เข่าดีไม่มีพัง แค่ป้องกัน ข้อเข่าเสื่อม #ลัดคิวหมอ” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ