Ciprofloxacin คือยาอะไร รู้จักยาปฏิชีวนะให้ถูกต้องก่อนใช้
หน้าแรก
Ciprofloxacin คือยาอะไร รู้จักยาปฏิชีวนะให้ถูกต้องก่อนใช้

Ciprofloxacin คือยาอะไร รู้จักยาปฏิชีวนะให้ถูกต้องก่อนใช้

ยา Ciprofloxacin (ไซโพรฟลอกซาซิน) คือ ยาปฏิชีวนะสำหรับรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ใช้รักษาโรคติดเชื้อได้หลากหลาย เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร สิ่งสำคัญที่สุดคือ ยานี้ใช้สำหรับ “เชื้อแบคทีเรีย” เท่านั้น ไม่สามารถรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสอย่างไข้หวัดหรือเจ็บคอทั่วไปได้ และจำเป็นต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยา

สรุปข้อมูลสำคัญ

  • กลุ่มยา : ยาปฏิชีวนะกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolone Antibiotics)
  • ข้อบ่งใช้ทั่วไป : รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่ไวต่อยา เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ผิวหนัง กระดูกและข้อ
  • รูปแบบ : ยาเม็ดสำหรับกิน ยาฉีด ยาหยอดตา ยาหยอดหู
  • ข้อควรระวังหลัก : อาจเพิ่มความเสี่ยงของเอ็นอักเสบหรือเอ็นขาด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ไม่แนะนำให้ใช้ในสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • เอกสารที่ควรอ่าน : เอกสารกำกับยาที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์

ยาปฏิชีวนะ คืออะไร ทำไมต้องใช้ให้ถูกโรค

ยาปฏิชีวนะ คืออะไร ทำไมต้องใช้ให้ถูกโรค

ยาปฏิชีวนะ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “ยาฆ่าเชื้อ” คือยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตหรือฆ่าเชื้อ “แบคทีเรีย” ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อต่าง ๆ แต่การเจ็บป่วยไม่ได้เกิดจากแบคทีเรียเสมอไป การติดเชื้อที่พบบ่อยในชีวิตประจำวันอย่างหวัด เจ็บคอ หรือไอ ส่วนใหญ่มักเกิดจาก “เชื้อไวรัส” ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่สามารถจัดการได้เลย

การใช้ยาปฏิชีวนะให้ถูกโรคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลหลักดังนี้

  • รักษาได้ตรงจุด : การใช้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด และผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วยได้รวดเร็ว
  • ลดผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็น : การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อทำให้ร่างกายได้รับยาเกินความจำเป็น และอาจต้องเผชิญกับผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย หรืออาการแพ้ยา
  • ป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยา : นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด การใช้ยาปฏิชีวนะผิด ๆ เป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อแบคทีเรียได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ทนทานต่อยา จนเกิดเป็น “เชื้อดื้อยา” ที่รักษายากในอนาคต
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย : การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมตั้งแต่แรก ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่จำเป็นและลดระยะเวลาการเจ็บป่วยได้

ดังนั้น ก่อนใช้ยาปฏิชีวนะทุกครั้ง ต้องมั่นใจว่าการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียจริง โดยผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์เท่านั้น เพื่อให้การรักษาเกิดประโยชน์สูงสุด

ทำความรู้จักยาปฏิชีวนะ Ciprofloxacin

Ciprofloxacin (ไซโพรฟลอกซาซิน) เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่ม ฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์กว้าง สามารถจัดการกับเชื้อแบคทีเรียได้หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ ทำให้เป็นยาที่แพทย์เลือกใช้ในการติดเชื้อหลายระบบของร่างกาย

กลไกการออกฤทธิ์ของ Ciprofloxacin มีความจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์แบคทีเรีย โดยเข้าไปขัดขวางกระบวนการสร้างสารพันธุกรรม หรือ DNA ของเชื้อโรค

  • ยับยั้งเอนไซม์สำคัญ : ตัวยาจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ชื่อว่า DNA gyrase และ Topoisomerase IV ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการจำลองและซ่อมแซม DNA ของแบคทีเรีย
  • ขัดขวางการแบ่งตัว : เมื่อกระบวนการสร้าง DNA ถูกยับยั้ง แบคทีเรียจะไม่สามารถแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนได้
  • ทำให้แบคทีเรียตาย : ในที่สุดเซลล์แบคทีเรียที่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนและซ่อมแซมตัวเองได้ก็จะค่อย ๆ ตายลง ส่งผลให้อาการติดเชื้อดีขึ้น

ด้วยกลไกที่ทรงพลังนี้ Ciprofloxacin จึงจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพราะถึงแม้จะออกฤทธิ์กว้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับการติดเชื้อแบคทีเรียทุกชนิด การเลือกใช้ยาจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยชนิดของเชื้อและความรุนแรงของโรค เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ยา Ciprofloxacin รักษาโรคอะไรได้บ้าง

ยา Ciprofloxacin รักษาโรคอะไรได้บ้าง

ด้วยคุณสมบัติการออกฤทธิ์ที่กว้างขวาง ยา Ciprofloxacin จึงถูกนำมาใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายหลายระบบ อย่างไรก็ตาม ยานี้มักไม่ใช่ตัวเลือกแรกเสมอไป แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ตามความเหมาะสมและความรุนแรงของโรค โดยโรคที่นิยมใช้ Ciprofloxacin รักษา มีดังนี้

  • การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
    • กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการซับซ้อนหรือเกิดการติดเชื้อซ้ำบ่อย
    • กรวยไตอักเสบ กรณีการติดเชื้อลุกลามจากกระเพาะปัสสาวะขึ้นไปยังไต
  • การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
    • โรคท้องร่วงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อซัลโมเนลลา (Salmonella) หรือชิเกลลา (Shigella) ที่ทำให้เกิดอาการถ่ายเป็นมูกเลือด หรือที่เรียกว่าโรคบิด
  • การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
    • โรคปอดอักเสบ สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ไม่ใช่สาเหตุทั่วไป
    • หลอดลมอักเสบชนิดรุนแรงจากแบคทีเรีย
  • การติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน
    • แผลติดเชื้อ เช่น แผลผ่าตัด หรือแผลจากอุบัติเหตุที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  • การติดเชื้อที่กระดูกและข้อ
    • โรคข้ออักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
    • การติดเชื้อที่กระดูก

สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำคือ Ciprofloxacin ไม่ได้ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด เจ็บคอส่วนใหญ่ หรือไข้หวัดใหญ่ การวินิจฉัยจากแพทย์จึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อยืนยันว่าสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียและเป็นชนิดที่ไวต่อยานี้

วิธีใช้ยา Ciprofloxacin ให้ได้ผลและปลอดภัย

เพื่อให้การรักษาด้วยยา Ciprofloxacin เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด โดยมีหลักการสำคัญที่ควรยึดถือดังต่อไปนี้

  • กินยาตามขนาดและเวลาที่กำหนด
    • ต้องกินยาให้ตรงตามขนาดที่แพทย์สั่ง ไม่เพิ่มหรือลดขนาดยาเองเด็ดขาด
    • ควรกินยาในเวลาเดียวกันของทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่และมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค
  • กินยาให้ครบตามจำนวนที่สั่ง
    • ข้อนี้สำคัญที่สุด! ต้องกินยาต่อเนื่องจนหมด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
    • การหยุดยาก่อนกำหนดอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ยังหลงเหลืออยู่กลับมาเพิ่มจำนวนและอาจกลายเป็นเชื้อดื้อยาได้ในที่สุด
  • ช่วงเวลาในการกินยา
    • ยานี้สามารถทานได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร แต่มีข้อแนะนำให้ทานก่อนอาหารจะดีกว่าเพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด
    • หากเกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร แนะนำให้กินยาพร้อมมื้ออาหาร
    • ไม่ควรรับประทานยานี้ร่วมกับนม ผลิตภัณฑ์จากนม ยาลดกรด วิตามินที่มีส่วนผสมของแคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม เพราะจะทำให้การดูดซึมของยาลดลง หากมีความจำเป็นต้องทานร่วมกันแนะนำให้ทานห่างจากยาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้หายจากโรค แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าในระยะยาวอีกด้วย

ผลข้างเคียงของยา Ciprofloxacin ที่ควรรู้

แม้ว่า Ciprofloxacin จะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นเดียวกับยาอื่น ๆ ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันไป ผู้ใช้ยาควรสังเกตอาการของตนเองอยู่เสมอ โดยสามารถแบ่งผลข้างเคียงได้ดังนี้

  • ผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อย (อาการไม่รุนแรง)
    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • ท้องเสีย
    • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
    • นอนไม่หลับ
    • เกิดผื่นคันเล็กน้อย
  • ผลข้างเคียงรุนแรงที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
    • อาการทางเส้นเอ็น : ปวด บวม หรืออักเสบบริเวณเส้นเอ็น โดยเฉพาะเอ็นร้อยหวาย อาจรุนแรงถึงขั้น เอ็นขาด ได้ ซึ่งเป็นคำเตือนที่สำคัญของยาในกลุ่มนี้
    • อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง : เช่น มีผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว หายใจลำบาก ใบหน้า ริมฝีปาก หรือเปลือกตาบวม
    • อาการทางระบบประสาท : รู้สึกสับสน วิตกกังวล ซึมเศร้า ประสาทหลอน หรือมีอาการชัก
    • อาการท้องเสียอย่างรุนแรง : ถ่ายเหลวเป็นน้ำติดต่อกันหลายครั้ง อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในลำไส้ที่เรียกว่า Clostridioides difficile
    • อาการไวต่อแสงแดด : ผิวหนังเกิดอาการไหม้หรือเป็นผื่นแดงได้ง่ายกว่าปกติเมื่อโดนแสงแดด
    • หัวใจเต้นผิดจังหวะ : รู้สึกใจสั่น วิงเวียน หรือเต้นเร็วผิดปกติ

หากพบผลข้างเคียงทั่วไปที่รบกวนการใช้ชีวิต หรือพบสัญญาณของผลข้างเคียงที่รุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที

ข้อควรระวังพิเศษก่อนเริ่มใช้ยา Ciprofloxacin

ก่อนที่แพทย์จะสั่งจ่ายยา Ciprofloxacin มีข้อมูลสำคัญบางประการที่ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการรักษา เนื่องจากยามีผลต่อผู้ป่วยบางกลุ่มเป็นพิเศษ

  • ประวัติการแพ้ยา ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา Ciprofloxacin หรือยาอื่นในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน เช่น Levofloxacin Moxifloxacin ห้ามใช้ยานี้เด็ดขาด
  • สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการของกระดูกและข้อของทารกในครรภ์และทารกที่ดื่มนมแม่ จึงไม่แนะนำให้ใช้ในกลุ่มนี้
  • เด็กและวัยรุ่น (อายุต่ำกว่า 18 ปี) มีความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของกระดูกและข้อต่อ จึงมีการจำกัดการใช้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งและไม่มียาอื่นทดแทน
  • ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) กลุ่มผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยเฉพาะอาการเกี่ยวกับเส้นเอ็น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และผลกระทบต่อระบบประสาท
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรแจ้งแพทย์หากคุณมีโรคประจำตัวเหล่านี้
    • โรคไต อาจต้องมีการปรับลดขนาดยา
    • โรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือมีประวัติ QT prolongation
    • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) ยาอาจทำให้อาการของโรคกำเริบขึ้น

การให้ข้อมูลสุขภาพของตนเองอย่างครบถ้วน จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงและพิจารณาเลือกใช้ยาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณได้

ยาหรืออาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อใช้ Ciprofloxacin

Ciprofloxacin สามารถเกิดปฏิกิริยากับยา อาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดได้ (ที่เรียกว่า “ยาตีกัน”) ซึ่งอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลง หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงให้สูงขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งเหล่านี้ร่วมกัน หรือเว้นระยะห่างในการกินตามคำแนะนำ

  • ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ลดการดูดซึม
    • ยาลดกรด ที่มีส่วนประกอบของอะลูมิเนียม แมกนีเซียม หรือแคลเซียม
    • ผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็ก สังกะสี และแคลเซียม รวมถึงวิตามินรวมที่มีแร่ธาตุเหล่านี้
    • วิธีจัดการ ควรกินยา Ciprofloxacin ห่างจาก ยาหรือผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง 
  • อาหารและเครื่องดื่มที่ควรระวัง
    • นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส นมเปรี้ยว เนื่องจากมีแคลเซียมสูง ซึ่งจะไปจับกับยาและลดการดูดซึม
    • วิธีจัดการ ให้เว้นระยะห่างเช่นเดียวกับกลุ่มยาข้างต้น ไม่ควรกินยา Ciprofloxacin พร้อมกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้
    • เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม ยานี้อาจทำให้ร่างกายขับกาเฟอีนออกได้ช้าลง ส่งผลให้รู้สึกใจสั่นหรือนอนไม่หลับได้ง่ายขึ้น
  • ยาอื่นที่ต้องแจ้งแพทย์หากใช้ร่วมกัน
    • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin เพราะ Ciprofloxacin อาจไปเสริมฤทธิ์ยา ทำให้เสี่ยงต่อภาวะเลือดออกผิดปกติ
    • Theophylline ยาขยายหลอดลม เนื่องจาก Ciprofloxacin อาจเพิ่มระดับยา Theophylline จนเกิดอาการข้างเคียงจากยาได้

เพื่อความปลอดภัย ควรจัดทำรายการยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิดที่คุณใช้อยู่ และนำไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ยา Ciprofloxacin เสมอ

ใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี เสี่ยงเชื้อดื้อยาอย่างไร

ภาวะเชื้อดื้อยา (Antimicrobial Resistance) คือ สถานการณ์ที่เชื้อแบคทีเรียมีการปรับตัวและพัฒนาตัวเองจนสามารถทนทานต่อยาปฏิชีวนะที่เคยใช้รักษาได้ผล เปรียบเสมือนศัตรูที่เรียนรู้วิธีป้องกันตัวจากอาวุธของเรา ทำให้การรักษาการติดเชื้อในครั้งต่อไปทำได้ยากขึ้น หรืออาจไม่ได้ผลเลย ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่น่ากังวลทั่วโลก

พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องคือตัวเร่งสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้เร็วขึ้น

  • ซื้อยากินเองโดยไม่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ การวินิจฉัยโรคด้วยตนเองอาจผิดพลาด เช่น การเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อไวรัส แต่กลับไปซื้อยาปฏิชีวนะมากิน ทำให้แบคทีเรียในร่างกายที่ไม่ใช่ตัวก่อโรคได้สัมผัสกับยาโดยไม่จำเป็นและเริ่มปรับตัว
  • ใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคจากไวรัส เช่น หวัด เจ็บคอส่วนใหญ่ การทำเช่นนี้ไม่ช่วยให้โรคหาย แต่กลับเป็นการสร้าง “สนามฝึก” ให้แบคทีเรียในร่างกายแข็งแกร่งขึ้น
  • หยุดยาก่อนกำหนด เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น หลายคนมักหยุดยาเอง ทั้งที่เชื้อก่อโรคยังถูกกำจัดไม่หมด เชื้อส่วนที่แข็งแรงที่สุดที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะมีโอกาสกลายพันธุ์และดื้อต่อยาได้
  • ใช้ยาที่เหลือจากครั้งก่อน การนำยาปฏิชีวนะที่เคยได้รับมาใช้รักษาอาการป่วยครั้งใหม่ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะชนิดของเชื้ออาจแตกต่างกัน

ผลกระทบของเชื้อดื้อยานั้นรุนแรง ทำให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น มีราคาแพงขึ้น และมีผลข้างเคียงสูงขึ้น ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจไม่มียาใดที่สามารถรักษาการติดเชื้อนั้นได้อีกต่อไป

ยา Ciprofloxacin เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับรักษาการติดเชื้อจาก “แบคทีเรีย” เท่านั้น และไม่สามารถใช้รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น หวัด หรือเจ็บคอส่วนใหญ่ได้ การใช้ยาอย่างปลอดภัยและได้ผลสูงสุดจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยต้องกินยาให้ครบตามกำหนดอย่างเคร่งครัดแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อกำจัดเชื้อให้หมดสิ้นและป้องกันการเกิด “เชื้อดื้อยา” ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ 

ผู้ใช้ยาควรตระหนักถึงผลข้างเคียงรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการเกี่ยวกับเส้นเอ็น และหลีกเลี่ยงการกินยาร่วมกับอาหารบางชนิดอย่างนมและผลิตภัณฑ์จากนม ดังนั้น การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้งจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการรักษาที่ตรงจุดและปลอดภัยอย่างแท้จริง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ

Q1: เป็นหวัด เจ็บคอ น้ำมูกไหล จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือไม่

A: ไม่จำเป็น ส่วนใหญ่อาการหวัด เจ็บคอ และน้ำมูกไหลมากกว่า 80% เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ การกินยาปฏิชีวนะในกรณีนี้จึงไม่มีประโยชน์ แถมยังเสี่ยงต่อผลข้างเคียงและเพิ่มโอกาสเกิดเชื้อดื้อยา ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และรักษาตามอาการจะดีที่สุด

Q2: ทำไมต้องกินยาปฏิชีวนะให้หมดตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว

A: เพราะการที่อาการดีขึ้นหมายถึงยาได้กำจัดเชื้อแบคทีเรียที่อ่อนแอไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ยังอาจมีเชื้อที่แข็งแรงกว่าหลงเหลืออยู่ การกินยาต่อจนครบกำหนดจะช่วยกำจัดเชื้อให้หมดสิ้น ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค และลดความเสี่ยงที่เชื้อที่เหลือรอดจะพัฒนาตัวเองกลายเป็นเชื้อดื้อยาในอนาคต

Q3: ยาแก้อักเสบกับยาปฏิชีวนะคือยาตัวเดียวกันหรือไม่

A: ไม่ใช่ยาตัวเดียวกัน ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “ยาฆ่าเชื้อ” มีฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อ “แบคทีเรีย” ส่วนยาแก้อักเสบ (Anti-inflammatory drugs) มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ซึ่งไม่ได้มีผลต่อเชื้อโรคโดยตรง การเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

Q4: หากกินยาปฏิชีวนะแล้วมีอาการท้องเสีย ควรทำอย่างไร

A: อาการท้องเสียเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เนื่องจากยาปฏิชีวนะอาจไปทำลายแบคทีเรียดีในลำไส้ หากอาการไม่รุนแรง (ถ่ายไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน) แนะนำให้ดื่มน้ำเกลือแร่ทดแทนและกินยาต่อไปจนครบ แต่หากมีอาการท้องเสียรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำตลอดเวลา หรือมีมูกเลือดปน ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในลำไส้ชนิดรุนแรง

Q5: สามารถซื้อยาปฏิชีวนะมากินเองจากร้านขายยาได้เลยหรือไม่

A: การใช้ยาปฏิชีวนะต้องผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อประเมินว่าการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียจริง และเลือกใช้ยาให้ตรงกับชนิดของเชื้อ การซื้อยากินเองอาจทำให้ได้รับยาที่ไม่ตรงกับโรค ใช้ยาโดยไม่จำเป็น หรือใช้ยาผิดขนาด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาเชื้อดื้อยา ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องซื้อยาปฏิชีวนะทานเองจากร้านยาควรเลือกร้านยาที่มีเภสัชกรดูแลเท่านั้น

Q6: หากแพ้ยาปฏิชีวนะจะมีอาการอย่างไร

A: อาการแพ้ยามีได้หลายระดับ ตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น ผื่นคัน ลมพิษ ไปจนถึงอาการแพ้ที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น หายใจลำบาก ริมฝีปากหรือใบหน้าบวม ความดันเลือดตก (เรียกว่า Anaphylaxis) หากเคยมีประวัติแพ้ยาตัวใดต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้ง และหากเกิดอาการผิดปกติหลังกินยาควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

Q7: สามารถเก็บยาปฏิชีวนะที่กินเหลือไว้ใช้ครั้งต่อไปได้หรือไม่

A: ไม่ควรทำเด็ดขาด ยาปฏิชีวนะที่ได้รับถูกสั่งจ่ายมาสำหรับโรคและการติดเชื้อในครั้งนั้น ๆ โดยเฉพาะ การนำยาเก่ามาใช้กับอาการป่วยครั้งใหม่อาจไม่ตรงกับเชื้อโรคที่ก่อเหตุ ทำให้รักษาไม่หายและเสี่ยงต่อการดื้อยามากขึ้น ยาที่เหลือควรนำไปทิ้งหรือคืนให้กับสถานพยาบาลตามคำแนะนำ

 

ข้อมูลโดย

ภก.นาวาวี ยียะห์ยา
เภสัชกรรมคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

รู้ทันตากุ้งยิง! จากตุ่มเล็ก ๆ สู่ปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
ตากุ้งยิงเริ่มจากตุ่มเล็ก ๆ บนเปลือกตา แต่หากปล่อยไว้สามารถลุกลามจนเจ็บ บวม และมองเห็นไม่ชัดได้ รู้สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลให้หายเร็วอย่างถูกวิธี
บทความสุขภาพ
12-12-2025

0

โรคพากินสัน-อาการสั่นที่มาจากสมอง
โรคพาร์กินสันทำให้เกิดอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า และทรงตัวไม่ดี ซึ่งมีต้นตอมาจากความเสื่อมของสมอง รู้สัญญาณเตือนและวิธีดูแล เพื่อชะลอการลุกลามของโรค
บทความสุขภาพ
11-12-2025

0

นอนเท่าไรก็ไม่พอ แก้ได้…หากนอนถูกวิธี
นอนเยอะแค่ไหนก็ยังไม่พอ อาจเป็นเพราะนอนไม่มีคุณภาพ รู้วิธีปรับพฤติกรรมการนอนให้ถูกต้อง เพื่อให้หลับลึก ตื่นสดชื่น และลดอาการง่วงล้าเรื้อรัง
บทความสุขภาพ
10-12-2025

0

Triglyceride ไตรกลีเซอไรด์ ตัวชี้วัดสุขภาพที่คุณควรรู้
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) คือไขมันในเลือดที่บ่งบอกความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด หากสูงเกินไปอันตรายได้ รู้ค่าปกติ สาเหตุ และวิธีลด
บทความสุขภาพ
08-12-2025

2

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL