ไวรัสซิกา โรคติดต่อจากยุงลาย
หน้าแรก
ไวรัสซิกา โรคติดต่อจากยุงลาย

ไวรัสซิกา โรคติดต่อจากยุงลาย

โรคติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika Virus Infection) เป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะ ซึ่งแม้ว่าอาการส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ไวรัสชนิดนี้ถือเป็นภัยเงียบที่อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ทำให้เกิดภาวะศีรษะเล็ก (Microcephaly) และความผิดปกติทางสมองได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการติดต่อ อาการ การรักษา และวิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ทุกคนตระหนักและปกป้องตนเองและครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไวรัสซิกา คืออะไร ?

ไวรัสซิกา (Zika Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในตระกูล Flavivirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสไข้เลือดออกและไวรัสเวสต์ไนล์ โรคนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ.2490 บริเวณป่าซิกาในประเทศยูกันดา และแพร่ระบาดในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะสำคัญของโรคคือการติดต่อผ่าน “ยุงลาย” ซึ่งเป็นพาหะเดียวกันกับที่แพร่เชื้อไข้เลือดออกหรือชิคุนกุนยา ทำให้บางครั้งผู้ป่วยอาจไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ โดยทั่วไปอาการมักไม่รุนแรง แต่สิ่งที่ทำให้โรคนี้น่ากังวลคือผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์

ไวรัสซิกาติดต่อได้อย่างไร ?

ไวรัสซิกาติดต่อได้อย่างไร ?

การแพร่เชื้อไวรัสซิกามีหลายช่องทาง แต่พาหะหลักที่สำคัญที่สุดคือ ยุงลาย (Aedes aegypti) เมื่อยุงไปกัดผู้ที่มีเชื้อไวรัสซิกาอยู่ในกระแสเลือด แล้วมากัดคนอื่นต่อ เชื้อไวรัสก็จะถูกส่งต่อไปยังผู้ที่ถูกกัด ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุม เช่น บ้านที่มีน้ำขัง หรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การเพาะพันธุ์ยุง

นอกจากการถูกยุงกัดแล้ว ไวรัสซิกายังสามารถติดต่อได้ผ่านวิธีอื่น ๆ ได้แก่

  • การมีเพศสัมพันธ์ เชื้อสามารถอยู่ในน้ำอสุจิและสารคัดหลั่งได้หลายสัปดาห์หลังจากติดเชื้อ แม้ไม่มีอาการก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้
  • ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ ไวรัสสามารถข้ามรกไปสู่ทารก ทำให้เกิดภาวะศีรษะเล็กหรือความผิดปกติของสมอง
  • การรับเลือดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะ แม้จะพบได้น้อย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถแพร่เชื้อได้

อาการของโรคไวรัสซิกา มีอะไรบ้าง ?

ผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง และมักหายได้เองภายใน 2–7 วัน โดยอาการหลักที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ไข้ต่ำ ไม่สูงเหมือนไข้เลือดออก
  • ผื่นแดงเล็ก ๆ กระจายตามผิวหนัง
  • ปวดข้อและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่ข้อมือ ข้อเท้า
  • ตาแดง จากการอักเสบของเยื่อบุตา
  • ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และรู้สึกไม่สบายตัว

ที่น่าสังเกตคือ ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกต หรืออาจไม่มีอาการเลย ทำให้การควบคุมโรคทำได้ยาก เพราะผู้ติดเชื้อที่ไม่รู้ตัวอาจยังแพร่เชื้อผ่านยุงลายต่อไป

ไวรัสซิกาอันตรายแค่ไหน โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ ?

สำหรับคนทั่วไป การติดเชื้อไวรัสซิกามักไม่รุนแรงและหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่สิ่งที่ทำให้โรคนี้ถูกจัดว่าเป็น ภัยเงียบ คือ ผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ เชื้อไวรัสซิกาสามารถข้ามรกไปสู่ทารกได้ และก่อให้เกิด ภาวะศีรษะเล็ก (Microcephaly) ซึ่งทำให้สมองพัฒนาผิดปกติ เด็กที่เกิดมาจึงอาจมีปัญหาทางการเรียนรู้ การเคลื่อนไหว หรือสติปัญญาต่ำกว่าปกติ

นอกจากศีรษะเล็กแล้ว ยังมีรายงานถึงความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความพิการทางสายตา การได้ยิน และระบบประสาท ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กในระยะยาว นอกจากนี้ การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร หรือการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ได้อีกด้วย

การรักษาโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

ปัจจุบันยัง ไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ สำหรับการรักษาโรคซิกา การดูแลรักษาจึงเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยแนวทางการรักษาหลัก ได้แก่

  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาในการฟื้นฟู
  • ดื่มน้ำมาก ๆ ป้องกันภาวะขาดน้ำจากไข้หรือการเสียเหงื่อ
  • ใช้ยาลดไข้และแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อลดอาการปวดและไข้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินหรือยากลุ่ม NSAIDs เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก โดยเฉพาะหากสับสนกับโรคไข้เลือดออก

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ระบบประสาทผิดปกติ อ่อนแรง หรือหญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและดูแลใกล้ชิด โดยแพทย์อาจทำการตรวจเลือดหรืออัลตราซาวนด์เพื่อติดตามพัฒนาการของทารก

วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสซิกา

วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสซิกา

เนื่องจากยังไม่มียารักษาเฉพาะหรือวัคซีนสำหรับไวรัสซิกา การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง โดยเน้นที่การป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัดและการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

  • ป้องกันการถูกยุงกัด ใส่เสื้อผ้าปกปิดแขนขา ใช้ยาทากันยุง หรือนอนในมุ้ง โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน เนื่องจากยุงลายชอบกัดในเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน
  • ติดมุ้งลวดหรือใช้เครื่องปรับอากาศเพื่อลดโอกาสที่ยุงจะเข้ามาในบ้าน
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง คว่ำภาชนะที่มีน้ำขัง ทำความสะอาดภาชนะเก็บน้ำทุกสัปดาห์ และเก็บขยะที่อาจกลายเป็นที่เพาะพันธุ์ยุงได้
  • ป้องกันการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยางอนามัยหลังจากหายจากโรคอย่างน้อย 3 เดือนในเพศชายที่เพิ่งหายจากการติดเชื้อ และอย่างน้อย 2 เดือนในเพศหญิงที่เพิ่งหายจากการติดเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คุ่สมรส
  • หญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ที่มีการระบาด หากจำเป็นต้องไปควรปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด
  • ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคซิกาในปัจจุบัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัสซิกา

  1. ไวรัสซิกาแตกต่างจากไข้เลือดออกหรือชิคุนกุนยาอย่างไร ?
    ทั้งสามโรคติดต่อโดยยุงลายเหมือนกัน แต่ความรุนแรงต่างกัน ไข้เลือดออกเสี่ยงเลือดออกผิดปกติและอาจเสียชีวิต ชิคุนกุนยามักมีอาการปวดข้อรุนแรง ส่วนไวรัสซิกามักมีอาการไม่รุนแรง แต่ที่น่ากังวลคือผลต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
  2. ไวรัสซิกาติดต่อจากการอยู่ใกล้ชิดกันหรือไม่ ?
    ไม่ติดต่อผ่านการพูดคุย สัมผัส หรือการหายใจ แต่สามารถติดต่อได้จากการถูกยุงลายกัด การมีเพศสัมพันธ์ และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์
  3. หากติดเชื้อไวรัสซิกา จะรักษาหายหรือไม่ ?
    ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ อาการไม่รุนแรง การรักษามุ่งเน้นที่การพักผ่อน ดื่มน้ำ และใช้ยาลดไข้ แต่ควรพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติหรือเป็นหญิงตั้งครรภ์
  4. หญิงตั้งครรภ์ต้องทำอย่างไรหากสงสัยติดเชื้อไวรัสซิกา ?
    ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจและติดตามพัฒนาการของทารกอย่างใกล้ชิด รวมถึงหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  5. เด็กสามารถติดเชื้อไวรัสซิกาได้หรือไม่ ?
    เด็กสามารถติดเชื้อได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่หากเป็นทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อจากแม่ขณะที่อยู่ในครรภ์ อาจเสี่ยงต่อความผิดปกติทางสมองและพัฒนาการ

ไวรัสซิกา แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงสำหรับคนทั่วไป แต่อันตรายสูงสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากเสี่ยงทำให้ทารกในครรภ์เกิดความพิการแต่กำเนิด ดังนั้นทุกคนควรให้ความสำคัญกับการป้องกันยุงกัดและการดูแลสุขอนามัย เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อและลดความเสี่ยงต่อสุขภาพทั้งของตนเองและครอบครัว

 

ข้อมูลโดย

รศ. ดร. นพ.นพพร อภิวัฒนากุล
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

ฉีดยา IV และ IM ต่างกันอย่างไร ?
การฉีดยาแบบ IV และ IM ต่างกันอย่างไร? รู้ความหมาย วิธีการฉีด ข้อดีข้อเสีย และกรณีที่แพทย์เลือกใช้แต่ละแบบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
บทความสุขภาพ
10-11-2025

1

ยาแอสไพริน (Aspirin) คืออะไร สรรพคุณ วิธีใช้ และข้อควรระวังที่ควรรู้
ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาแก้ปวดลดไข้ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน รู้สรรพคุณ วิธีใช้ และข้อควรระวัง เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
บทความสุขภาพ
09-11-2025

1

Metformin (เมทฟอร์มิน) สรรพคุณ และผลข้างเคียง ที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องรู้
Metformin (เมทฟอร์มิน) ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รู้สรรพคุณ วิธีใช้ และผลข้างเคียงที่ควรระวัง เพื่อการใช้อย่างปลอดภัย
บทความสุขภาพ
09-11-2025

2

แนวทางป้องกัน ลดโอกาสการเกิด โรคมะเร็งลำไส้
ลดความเสี่ยง โรคมะเร็งลำไส้ ได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจคัดกรองเป็นประจำ รู้แนวทางป้องกันง่าย ๆ เพื่อสุขภาพลำไส้
บทความสุขภาพ
08-11-2025

2

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL