โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ในขณะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างเต็มที่ แม้จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่เราสามารถป้องกันและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
โรคเบาหวานเกิดจากอะไร รู้จักสาเหตุและกลไกของโรค
โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติในการทำงานของ อินซูลิน ฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลในเลือดไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะผลิตได้น้อยลงหรือร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี (ภาวะดื้ออินซูลิน) ก็จะส่งผลให้มีน้ำตาลสะสมในกระแสเลือดในปริมาณมากจนกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
กลไกหลักของโรคเบาหวานสามารถแบ่งได้ดังนี้
- การขาดอินซูลิน ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก มักพบในเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน
- ภาวะดื้ออินซูลิน ตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่อวัยวะต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อ ไขมัน และตับ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินเท่าที่ควร ทำให้การนำน้ำตาลไปใช้ลดลง ในช่วงแรกตับอ่อนจะพยายามผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อชดเชย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเริ่มเสื่อมสภาพและผลิตอินซูลินได้น้อยลง เป็นกลไกหลักของเบาหวานชนิดที่ 2
- ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน คุณก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
- อายุที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป
- ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ไขมันที่สะสมในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณช่องท้อง เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะดื้ออินซูลิน
- การขาดการออกกำลังกาย การไม่เคลื่อนไหวร่างกายทำให้เซลล์ตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี
- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การตั้งครรภ์ โรคบางชนิด (เช่น ตับอ่อนอักเสบ) หรือการใช้ยาบางกลุ่ม (เช่น สเตียรอยด์) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานได้
อาการโรคเบาหวาน 10 สัญญาณเตือนเริ่มต้นที่ไม่ควรละเลย
โรคเบาหวานในระยะแรกมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม หากระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนออกมา ซึ่งหากคุณมีอาการเหล่านี้หลายข้อพร้อมกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรอง
10 สัญญาณเตือนสำคัญที่ควรสังเกต
- ปัสสาวะบ่อยและในปริมาณมาก : เพราะร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
- กระหายน้ำมากกว่าปกติ : การสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายรู้สึกขาดน้ำและต้องการดื่มน้ำตลอดเวลา
- หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลดผิดปกติ : แม้จะกินอาหารมากขึ้น แต่น้ำหนักกลับลดลง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงต้องสลายกล้ามเนื้อและไขมันมาใช้แทน
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง : เกิดจากการที่เซลล์ในร่างกายขาดพลังงานจากน้ำตาล
- ตาพร่ามัว มองไม่ชัด : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอาจส่งผลให้เลนส์ตาบวม ทำให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป
- เป็นแผลง่ายและหายช้า : ระดับน้ำตาลที่สูงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลติดเชื้อได้ง่ายและหายยาก
- ชาตามปลายมือปลายเท้า : เป็นอาการของเส้นประสาทส่วนปลายที่เริ่มได้รับความเสียหายจากน้ำตาลในเลือดสูง
- ผิวแห้งและคัน : การขาดน้ำอาจทำให้ผิวหนังแห้งกว่าปกติและเกิดอาการคันได้ง่าย
- ติดเชื้อบ่อย : โดยเฉพาะการติดเชื้อราในช่องคลอดหรือการติดเชื้อที่ผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ
- เหงือกบวมแดงหรืออักเสบ : ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคเหงือกและปริทันต์อักเสบสูงกว่าคนทั่วไป
โรคเบาหวานมีกี่ชนิด ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ต้องตรวจเช็ก
ทางการแพทย์ได้จำแนกโรคเบาหวานออกเป็นหลายชนิด แต่ชนิดที่พบบ่อยที่สุดมี 2 ชนิดหลัก นอกจากนี้ยังมีเบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่มีความสำคัญเช่นกัน การทำความเข้าใจชนิดของโรคจะช่วยให้วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
- เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)
- เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ทำให้ร่างกาย ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้
- มักพบในเด็กหรือผู้ที่มีอายุน้อย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย
- ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
- เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 90-95%)
- เกิดจากภาวะ ดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับการผลิตอินซูลินที่ไม่เพียงพอ
- มักเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น โรคอ้วน การขาดการออกกำลังกาย
- สามารถจัดการได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การใช้ยาลดระดับน้ำตาล หรือการฉีดอินซูลินในบางกรณี
- เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)
- เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์และมักจะหายไปเองหลังคลอด
- เกิดจากฮอร์โมนที่สร้างจากรกไปขัดขวางการทำงานของอินซูลิน
- แม้จะหายได้ แต่ผู้ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
- เบาหวานชนิดอื่น ๆ
- เกิดจากสาเหตุจำเพาะ เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน การใช้ยาบางชนิด
กลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปทุกคน
- ผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 25 กก./ม.² ขึ้นไป
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดผิดปกติ
- ผู้หญิงที่มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือเคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักแรกเกิดเกิน 4 กิโลกรัม
- ผู้ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้เป็นเวลานาน จะส่งผลให้หลอดเลือดทั่วร่างกายเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพ นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตรายต่ออวัยวะสำคัญต่าง ๆ ซึ่งแบ่งได้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดขนาดเล็กและหลอดเลือดขนาดใหญ่
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดขนาดเล็ก
- เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นและตาบอดในผู้ใหญ่ เกิดจากหลอดเลือดที่จอประสาทตาเสียหาย โป่งพอง หรือมีเลือดออก ทำให้การมองเห็นแย่ลง
- เบาหวานลงไต (Diabetic Nephropathy) ระดับน้ำตาลที่สูงจะทำลายหน่วยกรองของไต ทำให้ไตทำงานหนักและเสื่อมลงเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต
- โรคระบบประสาท (Diabetic Neuropathy) เส้นประสาทส่วนปลาย โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า จะถูกทำลาย ทำให้มีอาการชา คล้ายเข็มทิ่ม หรือหมดความรู้สึก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัว และอาจลุกลามจนต้องตัดอวัยวะได้
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดขนาดใหญ่
- โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหัวใจวาย สูงกว่าคนทั่วไป 2-4 เท่า
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เพิ่มความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
- โรคหลอดเลือดส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease) ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงขาลดลง มีอาการปวดน่องเวลาเดิน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าและนำไปสู่การตัดขา
การวินิจฉัยและการรักษาโรคเบาหวาน มีวิธีอย่างไร
การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้ไม่ยาก โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาล ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด แพทย์จะเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยเกณฑ์การวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานสากลมีดังนี้
วิธีการตรวจวินิจฉัย
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose – FPG) ผู้ป่วยต้องอดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด
- ค่าปกติ: น้อยกว่า 100 mg/dL
- ภาวะเสี่ยง (Prediabetes): 100-125 mg/dL
- เป็นเบาหวาน: ตั้งแต่ 126 mg/dL ขึ้นไป (ต้องตรวจยืนยันซ้ำอีกครั้ง)
- การตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) เป็นการตรวจค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร
- ค่าปกติ: น้อยกว่า 5.7%
- ภาวะเสี่ยง (Prediabetes) 5.7% – 6.4%
- เป็นเบาหวาน: ตั้งแต่ 6.5% ขึ้นไป
- การตรวจความทนทานต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test – OGTT) เป็นการตรวจดูการตอบสนองของร่างกายหลังดื่มสารละลายกลูโคส
แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน เป้าหมายหลักของการรักษาคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ประกอบด้วย
- การควบคุมอาหาร : เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของหวาน ของมัน ของเค็ม
- การออกกำลังกาย : อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- การควบคุมน้ำหนัก : ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- การใช้ยาลดระดับน้ำตาล หากการปรับพฤติกรรมยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ แพทย์จะพิจารณาให้ยากิน ซึ่งมีหลายกลุ่ม ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป
- การฉีดอินซูลิน จำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกราย และอาจจำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลด้วยยาเม็ดได้
อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน กินอะไรดีและควรเลี่ยงอะไร
การควบคุมอาหารเป็นเสาหลักที่สำคัญที่สุดในการจัดการโรคเบาหวาน การเลือกกินอาหารที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต และไขมัน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน หลักการง่าย ๆ คือการเลือกกินอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเน้นอาหารที่มีกากใยสูงและมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
อาหารที่ควรกิน
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เลือกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ธัญพืชไม่ขัดสี เผือก มัน และฟักทอง เพราะจะค่อย ๆ ถูกย่อยและดูดซึม ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- โปรตีนคุณภาพดี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ และถั่วต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้อิ่มนานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- ผักใบเขียวและผักหลากสี เช่น บรอกโคลี ผักโขม คะน้า มะเขือเทศ แครอท เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารสูง ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
- ผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัด เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ฝรั่ง แอปเปิลเขียว ชมพู่ แก้วมังกร ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
- ไขมันดี พบได้ในน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง และปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า ซึ่งมีโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบและดีต่อสุขภาพหัวใจ
อาหารที่ควรเลี่ยงหรือจำกัด
- น้ำตาลและของหวานทุกชนิด น้ำอัดลม ชา กาแฟหวานจัด น้ำผลไม้กล่อง ขนมหวาน เบเกอรี่ และไอศกรีม
- คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ข้าวขาว ขนมปังขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว และอาหารแปรรูปที่ทำจากแป้งขัดสี
- ผลไม้รสหวานจัด: ทุเรียน ลำไย เงาะ มะม่วงสุก และผลไม้แปรรูป เช่น ผลไม้กระป๋อง ผลไม้แช่อิ่ม/ดอง/กวน
- ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ของทอด อาหารมัน ๆ กะทิ เนื้อสัตว์ติดมัน เนย มาการีน และอาหารฟาสต์ฟู้ด
5 วิธีปรับพฤติกรรม ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง
การจัดการโรคเบาหวานให้ได้ผลดีต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยเป็นสำคัญ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล แต่ยังส่งเสริมสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย การเริ่มต้นอาจดูเป็นเรื่องท้าทาย แต่หากทำอย่างสม่ำเสมอจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้ไม่ยาก
- กินอาหารให้เป็นเวลาและสมดุล (Eat on Time & Balanced Diet)
- พยายามกินอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
- แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อย ๆ 4-5 มื้อต่อวัน เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลต่ำหรือสูงเกินไป
- ใช้หลักการ “จานอาหารสุขภาพ 2:1:1” ในแต่ละมื้อ คือแบ่งจานเป็น 4 ส่วน: ผัก 2 ส่วน, ข้าว/แป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน
- เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น (Be More Active)
- ตั้งเป้าหมายออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ (หรือ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์)
- เพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้บันไดแทนลิฟต์ เดินให้มากขึ้น จอดรถให้ไกลขึ้น
- ตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ (Monitor Blood Sugar)
- เรียนรู้วิธีการเจาะเลือดปลายนิ้วเพื่อตรวจระดับน้ำตาลด้วยตนเองที่บ้าน
- จดบันทึกค่าระดับน้ำตาล พร้อมทั้งเวลาและกิจกรรมที่ทำ เพื่อนำข้อมูลไปปรึกษาแพทย์ในการปรับแผนการรักษา
- จัดการความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ (Manage Stress & Sleep Well)
- ความเครียดสามารถกระตุ้นให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ลองหากิจกรรมผ่อนคลายที่ชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ
- นอนหลับพักผ่อนให้มีคุณภาพอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพราะการอดนอนส่งผลเสียต่อการควบคุมระดับน้ำตาล
- ดูแลสุขภาพเท้าทุกวัน (Daily Foot Care)
- ตรวจดูเท้าทุกวันว่ามีแผล รอยช้ำ หรือรอยแดงหรือไม่ เพราะผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการชาที่เท้า ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดแผล
- รักษาความสะอาดและเช็ดเท้าให้แห้งเสมอ โดยเฉพาะตามซอกนิ้ว ทาโลชั่นเพื่อป้องกันผิวแห้ง และเลือกรองเท้าที่พอดี ไม่คับจนเกินไป
อยู่กับเบาหวานอย่างไรให้มีความสุขและแข็งแรง
การเป็นโรคเบาหวานไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องใช้ชีวิตอย่างจำกัดหรือไม่มีความสุข ในทางกลับกัน มันคือโอกาสในการหันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้น การยอมรับและปรับเปลี่ยนมุมมองเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุด การสร้างทัศนคติเชิงบวกจะช่วยให้คุณมีพลังในการจัดการกับโรคนี้ในระยะยาว
- ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง อย่ากดดันตัวเองให้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในคราวเดียว เริ่มต้นจากเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น การลดน้ำหวานสัปดาห์ละ 2 แก้ว หรือการเดินเพิ่มขึ้นวันละ 10 นาที เมื่อทำสำเร็จแล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความท้าทายขึ้นไป
- เรียนรู้และทำความเข้าใจโรค เข้าร่วมอบรมหรือพูดคุยกับนักกำหนดอาหารและพยาบาลผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน ยิ่งคุณมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งจัดการมันได้ดีขึ้นเท่านั้น
- หาแรงสนับสนุน พูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนให้เข้าใจถึงสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ เพื่อให้พวกเขาเป็นกำลังใจและช่วยเหลือคุณได้ การเข้าร่วมกลุ่มเพื่อนเบาหวานก็เป็นอีกวิธีที่ดีในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
- อย่าละเลยสุขภาพจิต การจัดการโรคเรื้อรังอาจทำให้เกิดความเครียดหรือท้อแท้ได้ หากรู้สึกว่าจัดการอารมณ์ของตัวเองไม่ไหว ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา
- พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ การติดตามผลการรักษาและตรวจภาวะแทรกซ้อนเป็นประจำ เช่น ตรวจตา ตรวจไต และตรวจเท้า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพรุนแรงในอนาคต ทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและมีคุณภาพ
โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่ก็นับเป็น ภัยเงียบที่สามารถป้องกันและจัดการได้ หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำความเข้าใจสาเหตุของโรค รู้จักสัญญาณเตือน และเข้ารับการตรวจคัดกรองหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการดูแลสุขภาพเท้า ถือเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อตา ไต หัวใจ และระบบประสาท การเรียนรู้ที่จะอยู่กับเบาหวานอย่างเข้าใจและมีวินัย จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว
ข้อมูลโดย
ผศ. นพ.สิระ กอไพศาล
สาขาวิชาโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










