โรคเบาหวาน ภัยเงียบใกล้ตัวที่ป้องกันและจัดการได้
หน้าแรก
โรคเบาหวาน ภัยเงียบใกล้ตัวที่ป้องกันและจัดการได้

โรคเบาหวาน ภัยเงียบใกล้ตัวที่ป้องกันและจัดการได้

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ในขณะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างเต็มที่ แม้จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่เราสามารถป้องกันและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

โรคเบาหวานเกิดจากอะไร รู้จักสาเหตุและกลไกของโรค

โรคเบาหวานเกิดจากอะไร รู้จักสาเหตุและกลไกของโรค

โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติในการทำงานของ อินซูลิน ฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลในเลือดไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะผลิตได้น้อยลงหรือร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี (ภาวะดื้ออินซูลิน) ก็จะส่งผลให้มีน้ำตาลสะสมในกระแสเลือดในปริมาณมากจนกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด

กลไกหลักของโรคเบาหวานสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • การขาดอินซูลิน ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก มักพบในเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน
  • ภาวะดื้ออินซูลิน ตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่อวัยวะต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อ ไขมัน และตับ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินเท่าที่ควร ทำให้การนำน้ำตาลไปใช้ลดลง ในช่วงแรกตับอ่อนจะพยายามผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อชดเชย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเริ่มเสื่อมสภาพและผลิตอินซูลินได้น้อยลง เป็นกลไกหลักของเบาหวานชนิดที่ 2
  • ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
    • พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน คุณก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
    • อายุที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป
    • ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ไขมันที่สะสมในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณช่องท้อง เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะดื้ออินซูลิน
    • การขาดการออกกำลังกาย การไม่เคลื่อนไหวร่างกายทำให้เซลล์ตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี
    • ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การตั้งครรภ์ โรคบางชนิด (เช่น ตับอ่อนอักเสบ) หรือการใช้ยาบางกลุ่ม (เช่น สเตียรอยด์) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานได้

อาการโรคเบาหวาน 10 สัญญาณเตือนเริ่มต้นที่ไม่ควรละเลย

โรคเบาหวานในระยะแรกมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม หากระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนออกมา ซึ่งหากคุณมีอาการเหล่านี้หลายข้อพร้อมกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรอง

10 สัญญาณเตือนสำคัญที่ควรสังเกต

  • ปัสสาวะบ่อยและในปริมาณมาก : เพราะร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
  • กระหายน้ำมากกว่าปกติ : การสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายรู้สึกขาดน้ำและต้องการดื่มน้ำตลอดเวลา
  • หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลดผิดปกติ : แม้จะกินอาหารมากขึ้น แต่น้ำหนักกลับลดลง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงต้องสลายกล้ามเนื้อและไขมันมาใช้แทน
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง : เกิดจากการที่เซลล์ในร่างกายขาดพลังงานจากน้ำตาล
  • ตาพร่ามัว มองไม่ชัด : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอาจส่งผลให้เลนส์ตาบวม ทำให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป
  • เป็นแผลง่ายและหายช้า : ระดับน้ำตาลที่สูงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลติดเชื้อได้ง่ายและหายยาก
  • ชาตามปลายมือปลายเท้า : เป็นอาการของเส้นประสาทส่วนปลายที่เริ่มได้รับความเสียหายจากน้ำตาลในเลือดสูง
  • ผิวแห้งและคัน : การขาดน้ำอาจทำให้ผิวหนังแห้งกว่าปกติและเกิดอาการคันได้ง่าย
  • ติดเชื้อบ่อย : โดยเฉพาะการติดเชื้อราในช่องคลอดหรือการติดเชื้อที่ผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ
  • เหงือกบวมแดงหรืออักเสบ : ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคเหงือกและปริทันต์อักเสบสูงกว่าคนทั่วไป

โรคเบาหวานมีกี่ชนิด ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ต้องตรวจเช็ก

ทางการแพทย์ได้จำแนกโรคเบาหวานออกเป็นหลายชนิด แต่ชนิดที่พบบ่อยที่สุดมี 2 ชนิดหลัก นอกจากนี้ยังมีเบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่มีความสำคัญเช่นกัน การทำความเข้าใจชนิดของโรคจะช่วยให้วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

  • เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)
    • เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ทำให้ร่างกาย ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้
    • มักพบในเด็กหรือผู้ที่มีอายุน้อย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย
    • ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
    • เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 90-95%)
    • เกิดจากภาวะ ดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับการผลิตอินซูลินที่ไม่เพียงพอ
    • มักเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น โรคอ้วน การขาดการออกกำลังกาย
    • สามารถจัดการได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การใช้ยาลดระดับน้ำตาล หรือการฉีดอินซูลินในบางกรณี
  • เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)
    • เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์และมักจะหายไปเองหลังคลอด
    • เกิดจากฮอร์โมนที่สร้างจากรกไปขัดขวางการทำงานของอินซูลิน
    • แม้จะหายได้ แต่ผู้ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
  • เบาหวานชนิดอื่น ๆ
    • เกิดจากสาเหตุจำเพาะ เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน การใช้ยาบางชนิด

กลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน

  • ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปทุกคน
  • ผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 25 กก./ม.² ขึ้นไป
  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดผิดปกติ
  • ผู้หญิงที่มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือเคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักแรกเกิดเกิน 4 กิโลกรัม
  • ผู้ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้เป็นเวลานาน จะส่งผลให้หลอดเลือดทั่วร่างกายเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพ นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตรายต่ออวัยวะสำคัญต่าง ๆ ซึ่งแบ่งได้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดขนาดเล็กและหลอดเลือดขนาดใหญ่

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดขนาดเล็ก

  • เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นและตาบอดในผู้ใหญ่ เกิดจากหลอดเลือดที่จอประสาทตาเสียหาย โป่งพอง หรือมีเลือดออก ทำให้การมองเห็นแย่ลง
  • เบาหวานลงไต (Diabetic Nephropathy) ระดับน้ำตาลที่สูงจะทำลายหน่วยกรองของไต ทำให้ไตทำงานหนักและเสื่อมลงเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต
  • โรคระบบประสาท (Diabetic Neuropathy) เส้นประสาทส่วนปลาย โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า จะถูกทำลาย ทำให้มีอาการชา คล้ายเข็มทิ่ม หรือหมดความรู้สึก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัว และอาจลุกลามจนต้องตัดอวัยวะได้

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดขนาดใหญ่

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหัวใจวาย สูงกว่าคนทั่วไป 2-4 เท่า
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เพิ่มความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
  • โรคหลอดเลือดส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease) ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงขาลดลง มีอาการปวดน่องเวลาเดิน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าและนำไปสู่การตัดขา

การวินิจฉัยและการรักษาโรคเบาหวาน มีวิธีอย่างไร

การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้ไม่ยาก โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาล ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด แพทย์จะเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยเกณฑ์การวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานสากลมีดังนี้

วิธีการตรวจวินิจฉัย

  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose – FPG) ผู้ป่วยต้องอดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด
    • ค่าปกติ: น้อยกว่า 100 mg/dL
    • ภาวะเสี่ยง (Prediabetes): 100-125 mg/dL
    • เป็นเบาหวาน: ตั้งแต่ 126 mg/dL ขึ้นไป (ต้องตรวจยืนยันซ้ำอีกครั้ง)
  • การตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) เป็นการตรวจค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร
    • ค่าปกติ: น้อยกว่า 5.7%
    • ภาวะเสี่ยง (Prediabetes) 5.7% – 6.4%
    • เป็นเบาหวาน: ตั้งแต่ 6.5% ขึ้นไป
  • การตรวจความทนทานต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test – OGTT) เป็นการตรวจดูการตอบสนองของร่างกายหลังดื่มสารละลายกลูโคส

แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน เป้าหมายหลักของการรักษาคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ประกอบด้วย
    • การควบคุมอาหาร : เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของหวาน ของมัน ของเค็ม
    • การออกกำลังกาย : อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
    • การควบคุมน้ำหนัก : ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • การใช้ยาลดระดับน้ำตาล หากการปรับพฤติกรรมยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ แพทย์จะพิจารณาให้ยากิน ซึ่งมีหลายกลุ่ม ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป
  • การฉีดอินซูลิน จำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกราย และอาจจำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลด้วยยาเม็ดได้

อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน กินอะไรดีและควรเลี่ยงอะไร

การควบคุมอาหารเป็นเสาหลักที่สำคัญที่สุดในการจัดการโรคเบาหวาน การเลือกกินอาหารที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต และไขมัน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน หลักการง่าย ๆ คือการเลือกกินอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเน้นอาหารที่มีกากใยสูงและมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ

อาหารที่ควรกิน

  • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เลือกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ธัญพืชไม่ขัดสี เผือก มัน และฟักทอง เพราะจะค่อย ๆ ถูกย่อยและดูดซึม ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • โปรตีนคุณภาพดี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ และถั่วต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้อิ่มนานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
  • ผักใบเขียวและผักหลากสี เช่น บรอกโคลี ผักโขม คะน้า มะเขือเทศ แครอท เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารสูง ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
  • ผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัด เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ฝรั่ง แอปเปิลเขียว ชมพู่ แก้วมังกร ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
  • ไขมันดี พบได้ในน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง และปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า ซึ่งมีโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบและดีต่อสุขภาพหัวใจ

อาหารที่ควรเลี่ยงหรือจำกัด

  • น้ำตาลและของหวานทุกชนิด น้ำอัดลม ชา กาแฟหวานจัด น้ำผลไม้กล่อง ขนมหวาน เบเกอรี่ และไอศกรีม
  • คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ข้าวขาว ขนมปังขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว และอาหารแปรรูปที่ทำจากแป้งขัดสี
  • ผลไม้รสหวานจัด: ทุเรียน ลำไย เงาะ มะม่วงสุก และผลไม้แปรรูป เช่น ผลไม้กระป๋อง ผลไม้แช่อิ่ม/ดอง/กวน
  • ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ของทอด อาหารมัน ๆ กะทิ เนื้อสัตว์ติดมัน เนย มาการีน และอาหารฟาสต์ฟู้ด

5 วิธีปรับพฤติกรรม ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง

5 วิธีปรับพฤติกรรม ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง

การจัดการโรคเบาหวานให้ได้ผลดีต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยเป็นสำคัญ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล แต่ยังส่งเสริมสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย การเริ่มต้นอาจดูเป็นเรื่องท้าทาย แต่หากทำอย่างสม่ำเสมอจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้ไม่ยาก

  1. กินอาหารให้เป็นเวลาและสมดุล (Eat on Time & Balanced Diet)
    • พยายามกินอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
    • แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อย ๆ 4-5 มื้อต่อวัน เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลต่ำหรือสูงเกินไป
    • ใช้หลักการ “จานอาหารสุขภาพ 2:1:1” ในแต่ละมื้อ คือแบ่งจานเป็น 4 ส่วน: ผัก 2 ส่วน, ข้าว/แป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน
  2. เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น (Be More Active)
    • ตั้งเป้าหมายออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ (หรือ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์)
    • เพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้บันไดแทนลิฟต์ เดินให้มากขึ้น จอดรถให้ไกลขึ้น
  3. ตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ (Monitor Blood Sugar)
    • เรียนรู้วิธีการเจาะเลือดปลายนิ้วเพื่อตรวจระดับน้ำตาลด้วยตนเองที่บ้าน
    • จดบันทึกค่าระดับน้ำตาล พร้อมทั้งเวลาและกิจกรรมที่ทำ เพื่อนำข้อมูลไปปรึกษาแพทย์ในการปรับแผนการรักษา
  4. จัดการความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ (Manage Stress & Sleep Well)
    • ความเครียดสามารถกระตุ้นให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ลองหากิจกรรมผ่อนคลายที่ชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ
    • นอนหลับพักผ่อนให้มีคุณภาพอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพราะการอดนอนส่งผลเสียต่อการควบคุมระดับน้ำตาล
  5. ดูแลสุขภาพเท้าทุกวัน (Daily Foot Care)
    • ตรวจดูเท้าทุกวันว่ามีแผล รอยช้ำ หรือรอยแดงหรือไม่ เพราะผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการชาที่เท้า ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดแผล
    • รักษาความสะอาดและเช็ดเท้าให้แห้งเสมอ โดยเฉพาะตามซอกนิ้ว ทาโลชั่นเพื่อป้องกันผิวแห้ง และเลือกรองเท้าที่พอดี ไม่คับจนเกินไป

อยู่กับเบาหวานอย่างไรให้มีความสุขและแข็งแรง

การเป็นโรคเบาหวานไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องใช้ชีวิตอย่างจำกัดหรือไม่มีความสุข ในทางกลับกัน มันคือโอกาสในการหันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้น การยอมรับและปรับเปลี่ยนมุมมองเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุด การสร้างทัศนคติเชิงบวกจะช่วยให้คุณมีพลังในการจัดการกับโรคนี้ในระยะยาว

  • ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง อย่ากดดันตัวเองให้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในคราวเดียว เริ่มต้นจากเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น การลดน้ำหวานสัปดาห์ละ 2 แก้ว หรือการเดินเพิ่มขึ้นวันละ 10 นาที เมื่อทำสำเร็จแล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความท้าทายขึ้นไป
  • เรียนรู้และทำความเข้าใจโรค เข้าร่วมอบรมหรือพูดคุยกับนักกำหนดอาหารและพยาบาลผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน ยิ่งคุณมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งจัดการมันได้ดีขึ้นเท่านั้น
  • หาแรงสนับสนุน พูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนให้เข้าใจถึงสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ เพื่อให้พวกเขาเป็นกำลังใจและช่วยเหลือคุณได้ การเข้าร่วมกลุ่มเพื่อนเบาหวานก็เป็นอีกวิธีที่ดีในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
  • อย่าละเลยสุขภาพจิต การจัดการโรคเรื้อรังอาจทำให้เกิดความเครียดหรือท้อแท้ได้ หากรู้สึกว่าจัดการอารมณ์ของตัวเองไม่ไหว ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา
  • พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ การติดตามผลการรักษาและตรวจภาวะแทรกซ้อนเป็นประจำ เช่น ตรวจตา ตรวจไต และตรวจเท้า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพรุนแรงในอนาคต ทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและมีคุณภาพ

โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่ก็นับเป็น ภัยเงียบที่สามารถป้องกันและจัดการได้ หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำความเข้าใจสาเหตุของโรค รู้จักสัญญาณเตือน และเข้ารับการตรวจคัดกรองหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการดูแลสุขภาพเท้า ถือเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อตา ไต หัวใจ และระบบประสาท การเรียนรู้ที่จะอยู่กับเบาหวานอย่างเข้าใจและมีวินัย จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว

 

ข้อมูลโดย

ผศ. นพ.สิระ กอไพศาล
สาขาวิชาโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคเบาหวาน ภัยเงียบใกล้ตัวที่ป้องกันและจัดการได้
โรคเบาหวานคือภัยเงียบที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถป้องกันและจัดการได้ รู้สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลตัวเองเพื่อคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
บทความสุขภาพ
20-11-2025

0

มือชา นิ้วชา สัญญาณเตือนที่ไม่ควรปล่อยผ่าน
มือชา นิ้วชา อาจไม่ใช่แค่เมื่อยแต่เป็นสัญญาณเตือนของโรคเส้นประสาทหรือการไหลเวียนเลือดผิดปกติ รู้ทันสาเหตุและอาการอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
บทความสุขภาพ
19-11-2025

0

โรคเบาจืด-ความผิดปกติเกิดจากการเสียสมดุลของน้ำในร่างกาย
โรคเบาจืดเกิดจากความผิดปกติของสมดุลน้ำในร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำมาก รู้สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
บทความสุขภาพ
18-11-2025

0

รู้จักหมอ Med : Ortho : ENT ไว้จะได้ไม่งง
หมอ Med / Ortho / ENT ต่างกันยังไง? เวลาป่วยถ้าอยากรู้ว่าอาการแบบไหนควรไปหาหมอสาขาไหน อ่านนี่ก่อนจะได้ไม่งงเวลาไปโรงพยาบาล
บทความสุขภาพ
17-11-2025

0

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL