โรคเบาจืด-ความผิดปกติเกิดจากการเสียสมดุลของน้ำในร่างกาย
หน้าแรก
โรคเบาจืด ความผิดปกติเกิดจากการเสียสมดุลของน้ำในร่างกาย

โรคเบาจืด ความผิดปกติเกิดจากการเสียสมดุลของน้ำในร่างกาย

โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus) เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของน้ำได้อย่างปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำมากผิดปกติ แม้ชื่อจะคล้ายกับ “โรคเบาหวาน” แต่สาเหตุและกลไกของโรคนี้แตกต่างกัน โรคเบาจืดเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนหรือการทำงานของไต ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างเหมาะสม หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงได้

โรคเบาจืด คืออะไร ?

โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus) คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมสมดุลของน้ำได้ ทำให้ปัสสาวะออกมากกว่าปกติจนร่างกายสูญเสียน้ำอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความผิดปกติของ “ฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก” (Antidiuretic Hormone: ADH) หรือที่เรียกว่า “วาโซเพรสซิน” ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการดูดกลับน้ำในไต

เมื่อฮอร์โมนนี้ทำงานผิดปกติ ร่างกายจะไม่สามารถเก็บน้ำไว้ได้ ทำให้ปัสสาวะมีปริมาณมากและใสเหมือนน้ำเปล่า ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา แม้จะดื่มน้ำมากแต่ร่างกายก็ยังขาดน้ำอยู่ดี 

โรคเบาจืด เกิดจาก เกิดจากอะไร ?

สาเหตุของโรคเบาจืดแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ

  1. โรคเบาจืดชนิดจากส่วนกลาง (Central Diabetes Insipidus)
    เกิดจากสมองส่วน “ไฮโปทาลามัส” หรือ “ต่อมใต้สมอง” ไม่สามารถสร้างหรือหลั่งฮอร์โมน ADH ได้เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ การติดเชื้อในสมอง เนื้องอก หรือการผ่าตัดบริเวณสมอง
  2. โรคเบาจืดชนิดจากไต (Nephrogenic Diabetes Insipidus)
    เกิดจากไตไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมน ADH แม้ว่าร่างกายจะผลิตได้ตามปกติ มักเกิดจากกรรมพันธุ์ ยาบางชนิด (เช่น ลิเทียม) หรือโรคเรื้อรังที่ทำลายการทำงานของไต

โรคเบาจืด อาการ เป็นอย่างไร ?

โรคเบาจืด อาการ เป็นอย่างไร

อาการของโรคเบาจืดมักค่อย ๆ ปรากฏและชัดเจนเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น ได้แก่

  • ปัสสาวะปริมาณมากและบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
  • ปัสสาวะใสเหมือนน้ำเปล่า
  • กระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • น้ำหนักลด
  • ในเด็กอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอน หรือเจริญเติบโตช้า

หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) อย่างรุนแรง เช่น เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว และช็อกได้

ผู้ป่วยโรคเบาจืด ควรดูแลตนเองอย่างไร ? 

ผู้ที่เป็นโรคเบาจืดควรดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการรักษาของแพทย์ ดังนี้

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียจากการปัสสาวะ
  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะยาทดแทนฮอร์โมน ADH เช่น Desmopressin
  • หลีกเลี่ยงยาที่อาจกระตุ้นอาการ เช่น ยาขับปัสสาวะบางชนิด
  • เฝ้าระวังอาการขาดน้ำ หากมีอาการปากแห้ง เหนื่อยง่าย หรือปัสสาวะลดลง ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • ตรวจสุขภาพและติดตามผลเป็นประจำ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสม

ใครเสี่ยงเป็นโรคเบาจืด

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเบาจืด ได้แก่

  • ผู้ที่เคยได้รับการบาดเจ็บหรือผ่าตัดบริเวณศีรษะ
  • ผู้ที่มีประวัติเนื้องอกในสมองหรือต่อมใต้สมอง
  • ผู้ที่ใช้ยาลิเทียมหรือยาขับปัสสาวะบางชนิดเป็นเวลานาน
  • ผู้ที่มีโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาจืด (ชนิดพันธุกรรม)

การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์สามารถช่วยให้รักษาได้อย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและการขาดน้ำรุนแรง

โรคเบาจืด เป็นภาวะที่ร่างกายเสียสมดุลของน้ำจากความผิดปกติของฮอร์โมนหรือไต ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำมาก การรักษาและดูแลตนเองอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ตามปกติ หากพบอาการเข้าข่าย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสมก่อนที่ร่างกายจะขาดน้ำเกินไป

ข้อมูลโดย

รศ. นพ.สุรศักดิ์  กันตชูเวสศิริ
สาขาวิชาโรคไต  ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 0 2201 1000 หรือ 0 2200 3000

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

รู้จักหมอ Med : Ortho : ENT ไว้จะได้ไม่งง
หมอ Med / Ortho / ENT ต่างกันยังไง? เวลาป่วยถ้าอยากรู้ว่าอาการแบบไหนควรไปหาหมอสาขาไหน อ่านนี่ก่อนจะได้ไม่งงเวลาไปโรงพยาบาล
บทความสุขภาพ
17-11-2025

0

เจาะลึกกับโรคไต-ไขทุกความจริงของสุขภาพไต1
อยากเข้าใจโรคไตให้ลึกกว่าที่เคย? มาดูสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลไตให้แข็งแรง พร้อมไขข้อสงสัยที่หลายคนยังไม่รู้เกี่ยวกับสุขภาพไตของเรา
บทความสุขภาพ
17-11-2025

0

ไอบูโพรเฟน ยาแก้ปวดสามัญประจำบ้าน กินอย่างไรให้ปลอดภัย
ไอบูโพรเฟน ยาแก้ปวดลดไข้ที่หลายคนมักใช้บ่อย แต่หากกินไม่ถูกวิธีอาจเกิดผลข้างเคียงต่อกระเพาะและไตได้ รู้วิธีใช้ ปริมาณที่เหมาะสม และข้อควรระวัง
บทความสุขภาพ
14-11-2025

2

ฉีดยา IV และ IM ต่างกันอย่างไร ?
การฉีดยาแบบ IV และ IM ต่างกันอย่างไร? รู้ความหมาย วิธีการฉีด ข้อดีข้อเสีย และกรณีที่แพทย์เลือกใช้แต่ละแบบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
บทความสุขภาพ
10-11-2025

2

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL