โรคเกาต์ กินอย่างไรไม่ให้กรดยูริกในเลือดสูง
หน้าแรก
โรคเกาต์ กินอย่างไรไม่ให้กรดยูริกในเลือดสูง

โรคเกาต์ กินอย่างไรไม่ให้กรดยูริกในเลือดสูง

โรคเกาต์ (Gout) เป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยในคนไทย โดยเฉพาะในเพศชายวัยกลางคนขึ้นไป สาเหตุหลักของโรคนี้มาจากระดับกรดยูริกในเลือดที่สูงเกินไปจนตกผลึกสะสมในข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ที่ข้ออย่างเฉียบพลัน หลายคนเข้าใจผิดว่าโรคเกาต์เกิดจาก “การกินไก่มากเกินไป” แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหลายปัจจัยร่วมกัน บทความนี้จะพาไปรู้จักกับโรคเกาต์ให้มากขึ้น พร้อมคำแนะนำในการดูแลตัวเองและการเลือกกินอาหารอย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงระดับกรดยูริกสูง

โรคเกาต์ คืออะไร

โรคเกาต์ คืออะไร

โรคเกาต์ เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อต่อ โดยเฉพาะข้อนิ้วเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า หรือข้ออื่น ๆ ในร่างกาย กรดยูริกเป็นของเสียที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการย่อยสลายสารพิวรีน ซึ่งพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล หรือแม้แต่ในเนื้อแดง

โดยปกติแล้ว กรดยูริกจะถูกกรองออกทางไตและขับออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าร่างกายผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือไตไม่สามารถขับกรดยูริกได้ดีพอ ก็จะทำให้เกิดการสะสมในกระแสเลือด จนตกผลึกและสะสมในข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง

โรคเกาต์อาจเกิดเป็นครั้งคราวหรือเป็น ๆ หาย ๆ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็สามารถทำลายข้อต่อและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้

โรคเกาต์เกิดจากอะไรได้บ้าง

สาเหตุของโรคเกาต์มีทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายในร่างกาย เช่น

  • พันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีประวัติโรคเกาต์ ก็มีโอกาสที่จะเกิดโรคนี้สูงขึ้น
  • การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เนื้อแดง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และน้ำหวานที่มีฟรุกโตสสูง
  • น้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์และทำให้ไตขับกรดยูริกได้ยากขึ้น
  • โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือแอสไพริน

การควบคุมปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดหรือกำเริบของโรคเกาต์ได้อย่างมาก โดยเฉพาะการเลือกกินอาหารอย่างเหมาะสม

อาการของโรคเกาต์เป็นอย่างไร

อาการของโรคเกาต์เป็นอย่างไร

อาการของโรคเกาต์มักจะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยมีลักษณะเด่นคือ

  • ปวดข้อรุนแรง โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด มักเริ่มจากข้อเดียว เช่น ข้อหัวแม่เท้า
  • ข้อบวม แดง ร้อน และเจ็บมาก จนไม่สามารถขยับหรือเดินได้ตามปกติ
  • อาการมักดีขึ้นภายใน 3-10 วัน แต่หากไม่ได้รับการดูแลหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ก็อาจเกิดซ้ำอีก
  • กรณีเรื้อรัง อาจมีปุ่มก้อนใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ”โทฟี (Tophi)” จากการสะสมของผลึกกรดยูริก และทำลายข้อต่อถาวร

หากคุณมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

เป็นโรคเกาต์ ห้ามกินอาหารอะไรบ้าง ?

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เพราะจะเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด เช่น

  • เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต หัวใจ กระเพาะหมู
  • อาหารทะเล เช่น หอย ปลาหมึก กุ้ง ปู ปลาซาร์ดีน ปลาทู
  • เนื้อสัตว์แดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมูที่ติดมันมาก
  • อาหารแปรรูป ไส้กรอก เบคอน แฮม
  • เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ เพราะมีพิวรีนและส่งผลต่อการขับกรดยูริกทางไต
  • น้ำหวานที่มีฟรุกโตสสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้เข้มข้น

การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้จะช่วยควบคุมอาการและลดการเกิดการอักเสบได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ควรเน้นอาหารที่มีพิวรีนต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ธัญพืช และเนื้อปลาไขมันต่ำในปริมาณพอเหมาะ

วิธีดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเกาต์

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคเกาต์ไม่ได้มีเพียงแค่การเลือกอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมโดยรวม เช่น

  • ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง ดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 2-3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
  • รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย ไม่ควรลดน้ำหนักเร็วเกินไป เพราะอาจทำให้กรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้แรงกดที่ข้อมากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำหวาน
  • กินยาอย่างสม่ำเสมอ หากแพทย์สั่งยา เช่น ยาลดกรดยูริก ควรกินตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • ติดตามระดับกรดยูริกเป็นประจำ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสม

การใส่ใจดูแลตัวเองในระยะยาวจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ลดโอกาสเกิดข้อเสื่อมและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

โรคเกาต์ อาจดูเหมือนเป็นโรคที่ควบคุมยาก แต่หากเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกกินอาหารให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง และใส่ใจสุขภาพโดยรวม ก็สามารถลดระดับกรดยูริกในเลือด และควบคุมโรคได้ดี การปรึกษาแพทย์อย่างต่อเนื่องก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเกาต์ในระยะยาว


ข้อมูลโดย

รศ. นพ.สรวุฒิ ธรรมยงค์กิจ
ศัลยกรรมกระดูกและข้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

มะเร็งลำไส้ โรคร้ายที่ไม่เลือกวัย
มะเร็งลำไส้ใหญ่พบได้ทุกวัย ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ อาการแอบแฝง ตรวจพบเร็วช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต รู้ทันสัญญาณเตือนและแนวทางป้องกัน
บทความสุขภาพ
25-06-2025

1

Get to know “H. pylori” before becoming a victim of stomach cancer
เชื้อเอชไพโลไร (H. pylori) อาจดูธรรมดาแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหาร หากตรวจพบเร็วสามารถรักษาและป้องกันได้ทัน
บทความสุขภาพ
23-06-2025

0

ป้องกันอย่างไร ไม่ให้เกิดอาการปวดหน้าเท้า
อาการปวดหน้าเท้าอาจเกิดจากรองเท้าไม่พอดี น้ำหนักตัว หรือการใช้งานเท้าเกินพอดี รู้วิธีป้องกันและบรรเทาอาการอย่างถูกต้อง
บทความสุขภาพ
19-06-2025

4

กระเพาะทะลุ อาการโหดที่ไม่ควรมองข้าม รู้เร็ว รักษาได้ ไม่ต้องทนเจ็บ!
กระเพาะทะลุเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตราย เจ็บท้องเฉียบพลัน แน่นท้อง คลื่นไส้ ต้องรีบรักษาโดยเร็ว รู้ทันอาการเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
บทความสุขภาพ
13-06-2025

5

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL