โรคตับคั่งไขมัน เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนอาจมองข้าม เพราะช่วงแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจลุกลามไปสู่โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ในที่สุด พฤติกรรมของคนยุคใหม่ที่นิยมอาหารมัน หวาน เค็ม และขาดการออกกำลังกาย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้โดยไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับโรคตับคั่งไขมันอย่างครบถ้วน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ความรุนแรง วิธีวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางป้องกันและรักษา เพื่อให้เข้าใจโรคนี้และสามารถดูแลสุขภาพของตับได้อย่างเหมาะสม
สาเหตุโรคตับคั่งไขมัน มาจากอะไรบ้าง
โรคตับคั่งไขมันคือโรคที่เกิดจากการสะสมของไขมันในเซลล์ตับมากเกินไป โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่
- กินอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเป็นประจำ
- น้ำหนักเกินหรืออ้วน
- ขาดการออกกำลังกาย
- ภาวะดื้ออินซูลิน และโรคเบาหวาน
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาจเกิดจากยาบางชนิด ได้แก่ กลุ่มยาสเตียรอยด์ ยายับยั้งการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ ฮอร์โมนรักษามะเร็งเต้านม ยารักษาโรคข้ออักเสบบางชนิด
อาการของโรคตับคั่งไขมัน
ในระยะแรกของโรคตับคั่งไขมัน มักไม่มีอาการ ผู้ป่วยจำนวนมากมักทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้จากการตรวจสุขภาพประจำปี ต่อเมื่อโรคดำเนินไปจากการอักเสบของตับจึงจะเกิดอาการเป็นจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ
ในกรณีที่เป็นตับแข็ง จะมีอาการตัวหรือตาเหลือง ท้องบวม อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อาเจียนเป็นเลือด หรือหากเป็นมะเร็งตับก็มักจะมีแน่นหรือเจ็บบริเวณชายโครงด้านขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลดการสังเกตอาการเล็กน้อยและไม่ละเลยสัญญาณผิดปกติจากร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ระยะการเกิดโรคตับคั่งไขมัน
- ระยะแรก ไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับไม่ก่อให้เกิดผลใด
- ระยะที่สอง ตับเริ่มอักเสบ หากปล่อยนานกว่า 6 เดือน กลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
- ระยะที่สาม ตับอักเสบรุนแรงเกิดพังผืดในตับ และเซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลายลง
- ระยะที่สี่ เซลล์ตับถูกทำลายมาก ตับทำงานไม่ได้ตามปกติ ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับ
โรคตับคั่งไขมันอันตรายแค่ไหน
แม้ช่วงแรกของโรคตับคั่งไขมันจะดูไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โรคสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะร้ายแรงได้ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และในบางรายอาจเกิดมะเร็งตับในที่สุด ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
นอกจากนี้โรคตับคั่งไขมันยังมีความเกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ภาวะนอนกรนจนมีการหยุดหายใจขณะหลับและโรคหัวใจ การปล่อยให้ตับเสียหายจึงอาจกระทบต่อระบบร่างกายโดยรวม และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา
ตรวจโรคตับคั่งไขมันได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัยโรคตับคั่งไขมันสามารถทำได้หลายวิธี แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามประวัติสุขภาพ ตรวจร่างกาย และสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ (ALT และ AST) การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง ซึ่งช่วยตรวจหาความผิดปกติของตับเบื้องต้นได้
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอย่างการวัดความยืดหยุ่นของตับโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า FibroScan จะสามารถประเมินปริมาณไขมันและความแข็งของตับได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเจ็บตัว ส่วนการตรวจ MRI หรือ CT scan อาจใช้ในกรณีที่ต้องการความละเอียดสูง หรือถ้าจำเป็น แพทย์อาจพิจารณาตัดชิ้นเนื้อตับเพื่อตรวจวินิจฉัย
แนวทางรักษาและป้องกันโรคตับคั่งไขมัน
แนวทางการรักษาโรคตับคั่งไขมันเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะอ้วน โดยการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ลดการบริโภคอาหารมันจัด หวานจัด และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในผู้ป่วยที่มีโรคร่วม เช่น โรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนในกรณีที่โรคเข้าสู่ระยะรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาเพิ่มเติมด้วยยา และติดตามผลเป็นระยะ เพื่อชะลอการลุกลามของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
โรคตับคั่งไขมันอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่หากละเลยโดยไม่ดูแล อาจนำไปสู่โรคตับร้ายแรงที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ รู้เท่าทันสาเหตุ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และหมั่นดูแลร่างกายอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ
ข้อมูลจาก
อ. พญ.ศุภมาส เชิญอักษร
สาขาวิชาทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ