เมื่อพูดถึงการใช้ยา หลายคนอาจคิดว่าเพียงกินยาตามแพทย์สั่งก็เพียงพอแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า “การแพ้ยา” เป็นปัญหาทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเกิดอาการแพ้ยารุนแรงขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักสาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน และวิธีดูแลรักษาเมื่อเกิดผื่นแพ้ยา เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากภัยเงียบที่อันตรายนี้
แพ้ยา เกิดจากอะไร ?
การแพ้ยา คือ ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารในตัวยาอย่างผิดปกติ เมื่อร่างกายมองว่ายานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอม แม้ว่าจะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคก็ตาม ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บางรายมีแค่อาการคันเล็กน้อย ขณะที่บางรายอาจมีผื่นขึ้นทั้งตัว หรือมีอาการรุนแรงถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว
ปฏิกิริยานี้มักเกิดหลังจากได้รับยาครั้งแรกแล้วมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการสร้างแอนติบอดีที่จดจำตัวยา เมื่อใช้ยานั้นซ้ำในอนาคต ร่างกายจึงตอบสนองอย่างรุนแรงมากขึ้น การแพ้ยาไม่ใช่ผลข้างเคียงของยา แต่เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่ต้องเฝ้าระวัง
รู้จักผื่นแพ้ยา
ผื่นแพ้ยา เป็นหนึ่งในอาการแพ้ยาที่พบบ่อยที่สุด โดยแสดงออกทางผิวหนังในรูปแบบของผื่นคัน ตุ่มแดง หรือลักษณะคล้ายลมพิษ มักปรากฏภายใน 1-2 วันหลังเริ่มใช้ยา หรือเป็นผื่นแดง คัน หากเป็นปฏิกิริยาแบบ delayed hypersensitivity มักมีอาการหลังได้ยาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
ลักษณะของผื่นแพ้ยาอาจแตกต่างกันไป เช่น
- ผื่นแดงราบหรือมีตุ่มนูน
- ผื่นกระจายทั่วร่างกายหรือเป็นจุด ๆ
- ผิวลอกหรือมีตุ่มน้ำพอง
หากคุณมีผื่นเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาใหม่ ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที อย่าซื้อยารับประทานเองโดยไม่รู้ต้นเหตุของอาการ เพราะอาจยิ่งกระตุ้นให้รุนแรงขึ้น
สัญญาณอันตรายของผื่นแพ้ยา
แม้ผื่นแพ้ยาส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่ก็มีบางกรณีที่อันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าเกิดอาการแพ้ชนิดรุนแรง เช่น
- มีไข้สูง หนาวสั่น
- ผื่นขึ้นรวดเร็วทั่วร่างกาย
- ผิวหนังพอง น้ำเหลืองไหล ลอกเป็นแผ่น
- ตาแดง มีแผลในปาก หรืออวัยวะเพศ
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือคอ
- ความดันเลือดต่ำ หมดสติ
- หากพบอาการเหล่านี้หลังใช้ยา ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน เพราะอาจเป็นกลุ่มอาการรุนแรงอย่าง Stevens-Johnson Syndrome (SJS) หรือ toxic epidermal necrolysis (TEN) ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา
ชนิดยาที่มักทำให้เกิดอาการแพ้
ยาทุกชนิดมีโอกาสทำให้แพ้ได้ แต่จากสถิติพบว่ามียาบางกลุ่มที่เสี่ยงสูงต่อการกระตุ้นปฏิกิริยาแพ้ เช่น
- ยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะกลุ่มเพนิซิลลิน และซัลฟา
- ยากันชัก เช่น carbamazepine phenytoin
- ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ibuprofen naproxen
- ยาเคมีบำบัด
- ยารักษาวัณโรค และเชื้อรา
แม้จะเคยใช้ยาเหล่านี้โดยไม่แพ้มาก่อน ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่แพ้ในอนาคต เพราะร่างกายสามารถพัฒนาอาการแพ้ภายหลังได้เช่นกัน
วิธีป้องกันและวิธีรักษาผื่นแพ้ยา
การป้องกันอาการแพ้ยา เริ่มต้นได้จากตัวเอง เช่น
- แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอหากเคยมีประวัติแพ้ยา
- อย่าใช้ยาตามคำแนะนำจากผู้อื่นโดยไม่มีใบสั่งแพทย์
- พกบัตรหรือสายรัดข้อมือที่ระบุการแพ้ยาไว้เสมอ
วิธีรักษา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เช่น
- หยุดใช้ยาทันทีเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา
- ควรไปพบแพทย์ทุกครั้งถ้ามีอาการสงสัยว่าแพ้ยา
- ใช้ยาต้านฮีสตามีน (ยาแก้แพ้) ในกรณีอาการไม่รุนแรง
- ใช้ยาสเตียรอยด์ หรือรับการรักษาในโรงพยาบาลหากอาการรุนแรง
กลุ่มเสี่ยงต่ออาการแพ้ยา
แม้ว่าใครก็สามารถแพ้ยาได้ แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาหรือภูมิแพ้ในครอบครัว
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น HIV SLE วัณโรค
- ผู้ที่ใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ทำให้เพิ่มโอกาสเกิดปฏิกิริยาข้ามกันของยา
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและควรมีการบันทึกประวัติสุขภาพอย่างละเอียด
การแพ้ยาอาจฟังดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วใกล้กว่าที่คิดและอันตรายอย่างมาก หากรู้เท่าทันและมีการป้องกันที่ถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้รุนแรงได้อย่างมาก อย่าลืมว่าสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากความใส่ใจและรู้จักร่างกายตัวเอง หากสงสัยว่าแพ้ยา ไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลที่สุด
ข้อมูลจาก
อ. พญ.สัญชวัล วิทยากรฤกษ์
สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “ลัดคิวหมอ – #แพ้ยา อันตราย รู้ก่อน ป้องกันได้ ! 13/03/68 | by RAMA Channel” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ