แพ้ยา อันตรายกว่าที่คิด รู้ก่อน ป้องกันได้
หน้าแรก
แพ้ยา อันตรายกว่าที่คิด รู้ก่อน ป้องกันได้ !

แพ้ยา อันตรายกว่าที่คิด รู้ก่อน ป้องกันได้ !

เมื่อพูดถึงการใช้ยา หลายคนอาจคิดว่าเพียงกินยาตามแพทย์สั่งก็เพียงพอแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า “การแพ้ยา” เป็นปัญหาทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเกิดอาการแพ้ยารุนแรงขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักสาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน และวิธีดูแลรักษาเมื่อเกิดผื่นแพ้ยา เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากภัยเงียบที่อันตรายนี้

แพ้ยา เกิดจากอะไร ?

การแพ้ยา คือ ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารในตัวยาอย่างผิดปกติ เมื่อร่างกายมองว่ายานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอม แม้ว่าจะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคก็ตาม ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บางรายมีแค่อาการคันเล็กน้อย ขณะที่บางรายอาจมีผื่นขึ้นทั้งตัว หรือมีอาการรุนแรงถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว

ปฏิกิริยานี้มักเกิดหลังจากได้รับยาครั้งแรกแล้วมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการสร้างแอนติบอดีที่จดจำตัวยา เมื่อใช้ยานั้นซ้ำในอนาคต ร่างกายจึงตอบสนองอย่างรุนแรงมากขึ้น การแพ้ยาไม่ใช่ผลข้างเคียงของยา แต่เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่ต้องเฝ้าระวัง

รู้จักผื่นแพ้ยา

รู้จักผื่นแพ้ยา

ผื่นแพ้ยา เป็นหนึ่งในอาการแพ้ยาที่พบบ่อยที่สุด โดยแสดงออกทางผิวหนังในรูปแบบของผื่นคัน ตุ่มแดง หรือลักษณะคล้ายลมพิษ มักปรากฏภายใน 1-2 วันหลังเริ่มใช้ยา หรือเป็นผื่นแดง คัน หากเป็นปฏิกิริยาแบบ delayed hypersensitivity มักมีอาการหลังได้ยาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน

ลักษณะของผื่นแพ้ยาอาจแตกต่างกันไป เช่น

  • ผื่นแดงราบหรือมีตุ่มนูน
  • ผื่นกระจายทั่วร่างกายหรือเป็นจุด ๆ
  • ผิวลอกหรือมีตุ่มน้ำพอง 

หากคุณมีผื่นเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาใหม่ ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที อย่าซื้อยารับประทานเองโดยไม่รู้ต้นเหตุของอาการ เพราะอาจยิ่งกระตุ้นให้รุนแรงขึ้น

สัญญาณอันตรายของผื่นแพ้ยา

แม้ผื่นแพ้ยาส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่ก็มีบางกรณีที่อันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าเกิดอาการแพ้ชนิดรุนแรง เช่น

  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • ผื่นขึ้นรวดเร็วทั่วร่างกาย
  • ผิวหนังพอง น้ำเหลืองไหล ลอกเป็นแผ่น
  • ตาแดง มีแผลในปาก หรืออวัยวะเพศ
  • หายใจลำบาก แน่นหน้าอก บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือคอ
  • ความดันเลือดต่ำ หมดสติ
  • หากพบอาการเหล่านี้หลังใช้ยา ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน เพราะอาจเป็นกลุ่มอาการรุนแรงอย่าง Stevens-Johnson Syndrome (SJS) หรือ toxic epidermal necrolysis (TEN) ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา

ชนิดยาที่มักทำให้เกิดอาการแพ้

ยาทุกชนิดมีโอกาสทำให้แพ้ได้ แต่จากสถิติพบว่ามียาบางกลุ่มที่เสี่ยงสูงต่อการกระตุ้นปฏิกิริยาแพ้ เช่น

  • ยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะกลุ่มเพนิซิลลิน และซัลฟา
  • ยากันชัก เช่น carbamazepine phenytoin
  • ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ibuprofen naproxen
  • ยาเคมีบำบัด
  • ยารักษาวัณโรค และเชื้อรา

แม้จะเคยใช้ยาเหล่านี้โดยไม่แพ้มาก่อน ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่แพ้ในอนาคต เพราะร่างกายสามารถพัฒนาอาการแพ้ภายหลังได้เช่นกัน

วิธีป้องกันและวิธีรักษาผื่นแพ้ยา

วิธีป้องกันและวิธีรักษาผื่นแพ้ยา

การป้องกันอาการแพ้ยา เริ่มต้นได้จากตัวเอง เช่น

  • แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอหากเคยมีประวัติแพ้ยา
  • อย่าใช้ยาตามคำแนะนำจากผู้อื่นโดยไม่มีใบสั่งแพทย์
  • พกบัตรหรือสายรัดข้อมือที่ระบุการแพ้ยาไว้เสมอ

วิธีรักษา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เช่น

  • หยุดใช้ยาทันทีเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา
  • ควรไปพบแพทย์ทุกครั้งถ้ามีอาการสงสัยว่าแพ้ยา
  • ใช้ยาต้านฮีสตามีน (ยาแก้แพ้) ในกรณีอาการไม่รุนแรง
  • ใช้ยาสเตียรอยด์ หรือรับการรักษาในโรงพยาบาลหากอาการรุนแรง

กลุ่มเสี่ยงต่ออาการแพ้ยา

แม้ว่าใครก็สามารถแพ้ยาได้ แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่

  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาหรือภูมิแพ้ในครอบครัว
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น HIV SLE วัณโรค
  • ผู้ที่ใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ทำให้เพิ่มโอกาสเกิดปฏิกิริยาข้ามกันของยา

ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและควรมีการบันทึกประวัติสุขภาพอย่างละเอียด

การแพ้ยาอาจฟังดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วใกล้กว่าที่คิดและอันตรายอย่างมาก หากรู้เท่าทันและมีการป้องกันที่ถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้รุนแรงได้อย่างมาก อย่าลืมว่าสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากความใส่ใจและรู้จักร่างกายตัวเอง หากสงสัยว่าแพ้ยา ไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลที่สุด

 

ข้อมูลจาก

อ. พญ.สัญชวัล วิทยากรฤกษ์
สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

คลิกชมคลิปรายการ “ลัดคิวหมอ – #แพ้ยา อันตราย รู้ก่อน ป้องกันได้ ! 13/03/68 | by RAMA Channel” ได้ที่นี่

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคตับคั่งไขมัน รู้ให้ทัน ปรับพฤติกรรมให้ไว
โรคตับคั่งไขมันเป็นภาวะที่ไขมันสะสมในตับมากเกินไป เสี่ยงตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ หากรู้ทันและรีบปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย
บทความสุขภาพ
09-09-2025

0

OPD และ IPD ต่างกันอย่างไร ?
OPD และ IPD คือการใช้บริการในโรงพยาบาลที่ต่างกัน OPD คือผู้ป่วยนอกที่ไม่ต้องนอนรักษา ส่วน IPD คือผู้ป่วยในที่ต้องนอนพักรักษาตัวภายใต้การดูแล
บทความสุขภาพ
08-09-2025

0

ยาคลายกล้ามเนื้อ Tolperisone
ยาคลายกล้ามเนื้อ Tolperisone การใช้บ่อย ๆ อาจเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ ง่วงซึม ความดันต่ำ หรือดื้อยาได้ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำ
บทความสุขภาพ
08-09-2025

1

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปวด แสบ ขัด
กระเพาะปัสสาวะอักเสบทำให้ปัสสาวะแสบ ขัด และปวดบ่อย หากละเลยอาจลุกลามเป็นกรวยไตอักเสบ ควรรู้ทันอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง
บทความสุขภาพ
07-09-2025

0

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL