เช็กลิสต์ พฤติกรรมกัน โรคไตเรื้อรัง
หน้าแรก
เช็กลิสต์ พฤติกรรมกัน โรคไตเรื้อรัง

เช็กลิสต์ พฤติกรรมกัน โรคไตเรื้อรัง

โรคไตเรื้อรัง เป็นโรคที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถขับของเสียและควบคุมสมดุลน้ำ เกลือแร่ และความดันเลือดได้เต็มที่ มักพบในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือมีประวัติครอบครัว ควรตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ และปรึกษาแพทย์เมื่อมีความเสี่ยงต่อโรคไต 

โรคไตเรื้อรัง คืออะไร

​​โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) เป็นโรคที่ไตทำงานผิดปกติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยไตไม่สามารถกรองของเสียออกจากเลือดหรือควบคุมสมดุลน้ำ เกลือแร่ และความดันเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป การเสื่อมของไตในลักษณะนี้ไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้เหมือนเดิม และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา จะค่อย ๆ ลุกลามจนกลายเป็นภาวะไตวายเรื้อรังซึ่งอาจต้องพึ่งการฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต

ไตเสื่อมเฉียบพลันกับไตเรื้อรังแตกต่างกันอย่างไร

  • ไตเสื่อมเฉียบพลัน (AKI): เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์ มักเกิดจากการขาดน้ำ การเสียเลือด หรือการใช้ยาบางชนิด หากรักษาทันอาจกลับมาเป็นปกติ
  • ไตเรื้อรัง (CKD): เสื่อมช้า ๆ ต่อเนื่องเป็นเดือนหรือปี ความเสียหายมักถาวร ไม่สามารถฟื้นตัวได้ ต้องอาศัยการรักษาเพื่อชะลอความเสื่อม

สาเหตุของโรคไตเรื้อรัง มีอะไรบ้าง

โรคไตเรื้อรัง เกิดได้จากหลายปัจจัย โดยมีทั้งโรคประจำตัว พันธุกรรม และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อการทำงานของไตอย่างต่อเนื่อง หากไม่ควบคุมหรือปรับพฤติกรรมก็อาจนำไปสู่การเสื่อมของไตในระยะยาวได้

  1. โรคเบาหวาน ถือเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของโรคไตเรื้อรัง ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงต่อเนื่องจะทำลายหลอดเลือดเล็กในไต ทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสีย
  2. ความดันเลือดสูง ความดันเลือดที่สูงเกินปกติจะทำอันตรายหลอดเลือดในไต ทำให้เสื่อมสภาพและกรองของเสียได้ไม่ดี
  3. โรคไตอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อหรือความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้หน่วยไตอักเสบและถูกทำลาย ส่งผลให้ไตเสื่อมลงเรื่อย ๆ
  4. โรคนิ่วและการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ นิ่วหรือการอุดตันเรื้อรังทำให้ไตทำงานผิดปกติและเสียหายถาวรได้
  5. พันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำหลายใบในไต ซึ่งทำให้ไตมีซีสต์จำนวนมากและเสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น
  6. ยาและสารพิษ การใช้ยาบางชนิดต่อเนื่อง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือการสัมผัสสารพิษเป็นเวลานาน อาจทำลายการทำงานของไตได้
  7. พฤติกรรมเสี่ยง การบริโภคอาหารเค็มจัด สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการดื่มน้ำน้อยเกิน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรัง

อาการของโรคไตเรื้อรัง เป็นอย่างไร

อาการของโรคไตเรื้อรัง เป็นอย่างไร

ระยะแรก

ในช่วงเริ่มต้น ไตอาจยังทำงานได้พอสมควร ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเด่นชัด แต่บางรายอาจสังเกตได้จากสัญญาณเล็กน้อย เช่น

  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน หรือปัสสาวะเป็นสีแดง
  • ปัสสาวะเป็นฟองมากขึ้น (บ่งชี้โปรตีนรั่ว)
  • รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
  • มีบวมเล็กน้อยที่รอบตาหรือข้อเท้า

ระยะลุกลาม

เมื่อไตเสื่อมลงมากขึ้น อาการจะเริ่มชัดเจน เช่น

  • บวมที่หน้า เท้า และข้อเท้า เนื่องจากไตขับเกลือและน้ำออกได้น้อยลง
  • ความดันเลือดสูงขึ้น
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือมีน้ำหนักลด
  • ปัสสาวะผิดปกติ เช่น สีเข้มขึ้น หรือปริมาณลดลง

ระยะนี้ถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะหากไม่รักษา อาจเข้าสู่ภาวะไตวายได้รวดเร็ว

ระยะรุนแรง

  • คลื่นไส้อาเจียนบ่อย น้ำหนักลดลงอย่างชัดเจน
  • หายใจหอบ เหนื่อยง่ายมากแม้ไม่ออกแรง
  • มีอาการ คันตามตัว จากการสะสมของเสียในร่างกาย
  • หัวใจเต้นผิดปกติจากภาวะโพแทสเซียมสูง
  • หากไม่รักษาอาจเข้าสู่ภาวะ ไตวายระยะสุดท้าย ที่จำเป็นต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต

วิธีตรวจวินิจฉัยโรคไตเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังจำเป็นต้องอาศัยทั้งการซักประวัติ อาการทางคลินิก และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันว่าไตมีการเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 3 เดือน การตรวจสำคัญที่แพทย์มักใช้ มีดังนี้

  1. การตรวจเลือด
    • ตรวจหาค่า Creatinine และคำนวณค่า eGFR (Estimated Glomerular Filtration Rate) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการทำงานของไต หากค่า eGFR ต่ำกว่า 60 ml/min/1.73m² ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน มักบ่งชี้ว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง
    • ตรวจระดับเกลือแร่และสารเคมีในเลือด เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสเฟต
  2. การตรวจปัสสาวะ
    • ตรวจหาปริมาณ โปรตีนหรืออัลบูมินในปัสสาวะ (Albuminuria)
    • ตรวจหาความผิดปกติอื่น เช่น เลือดในปัสสาวะ หรือความถ่วงจำเพาะผิดปกติ
  3. การตรวจภาพทางรังสี
    • อัลตราซาวนด์ไต เพื่อดูขนาด รูปร่าง และโครงสร้างของไต
    • ในบางกรณีอาจใช้ CT Scan หรือ MRI เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น เนื้องอกหรือถุงน้ำในไต
  4. การตรวจชิ้นเนื้อไต (Renal Biopsy)
    ใช้ในกรณีที่แพทย์ต้องการหาสาเหตุเฉพาะเจาะจง เช่น โรคไตอักเสบ หรือโรคทางพันธุกรรม

การตรวจเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินระยะของโรค วางแผนการรักษา และเฝ้าติดตามความเสื่อมของไตได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรตรวจสุขภาพไตอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก ๆ

แนวทางการรักษาโรคไตเรื้อรัง

โรคไตเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้ไตกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม แต่การรักษามุ่งเน้นไปที่ การชะลอความเสื่อมของไต ลดภาวะแทรกซ้อน และรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งมีแนวทางการรักษาหลัก ๆ ได้แก่

  1. การควบคุมโรคประจำตัว
    • ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์
    • ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรรักษาความดันให้อยู่ต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท
    • ใช้ยาที่ช่วยลดความดันและปกป้องไต เช่น ACE inhibitors หรือ ARBs, SGLT2i ตามดุลยพินิจแพทย์
  2. การใช้ยา
    • ยาลดความดันเลือด
    • ยาขับปัสสาวะในผู้ที่มีอาการบวมน้ำ
    • ยารักษาภาวะซีด (Erythropoietin) และอาหารเสริมธาตุเหล็ก
    • ยาควบคุมระดับฟอสเฟตและวิตามินดีในกรณีมีภาวะแร่ธาตุผิดปกติ
  3. การปรับพฤติกรรมและโภชนาการ
    • จำกัดเกลือและอาหารเค็มเพื่อลดความดันเลือดและอาการบวม
    • ลดปริมาณโปรตีนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดภาระการทำงานของไต
    • ดื่มน้ำตามที่แพทย์แนะนำ ไม่มากหรือน้อยเกินไป
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำร้ายไต เช่น ยาแก้ปวด NSAIDs
  4. การรักษาในระยะรุนแรง
    • ฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) หรือ ฟอกทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) เพื่อขับของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย
    • การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation): ถือเป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงปกติที่สุด

การดูแลตนเองและปรับพฤติกรรมให้ห่างไกลโรคไตเรื้อรัง

การดูแลตนเองและปรับพฤติกรรมให้ห่างไกลโรคไตเรื้อรัง

  1. ลดการบริโภค เกลือและโซเดียม เช่น อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ของหมักดอง และลดเครื่องปรุงรสรวมทั้งนำ้จิ้ม เพื่อช่วยควบคุมความดันเลือดและลดอาการบวม
  2. เลือกรับประทานโปรตีนที่มีคุณภาพ เช่น ปลา ไข่ขาว ในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์
  3. ออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบา ๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3-5 วัน เพื่อควบคุมน้ำหนัก ลดความดันเลือด และช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น
  4. ควบคุมโรคประจำตัว ผู้ที่มีโรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูงต้องควบคุมระดับน้ำตาลและความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ตรวจติดตามกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  5. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ติดต่อกันนาน ๆ
  6. ไม่ควรใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริมที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ
  7. งดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงโรคไต
  8. การตรวจเลือดและปัสสาวะทุกปีช่วยให้ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรก ๆ ซึ่งสามารถรักษาและควบคุมได้ทัน

คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับโรคไตเรื้อรัง

Q1: โรคไตเรื้อรังรักษาหายขาดได้หรือไม่ ?
โรคไตเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้ไตกลับมาทำงานสมบูรณ์ได้ แต่สามารถ ควบคุมและชะลอความเสื่อม ด้วยการรักษาและการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกก็จะช่วยลดโอกาสเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายได้มาก

Q2: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจำเป็นต้องฟอกไตทุกรายหรือไม่ ?
ไม่จำเป็นเสมอไป ผู้ป่วยบางรายสามารถควบคุมโรคด้วยยาและการปรับพฤติกรรม หากอาการยังไม่รุนแรง แต่เมื่อเข้าสู่ ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และไตไม่สามารถทำงานได้แล้ว การฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตจะเป็นทางเลือกสำคัญ

Q3: ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยป้องกันโรคไตได้หรือเปล่า ?
การดื่มน้ำมากเกินไปไม่ได้ช่วยป้องกันโรคไตเสมอไป ควรดื่ม ตามความต้องการของร่างกายและตามคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไปประมาณวันละ 6-8 แก้ว ยกเว้นผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดด้านการดื่มน้ำ

Q4: มีอาหารเสริมอะไรที่ช่วยฟื้นฟูไตได้บ้าง ?
ปัจจุบันยังไม่มีอาหารเสริมหรือสมุนไพรที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ฟื้นฟูไตให้กลับมาเหมือนเดิมได้ การดูแลที่ดีที่สุดคือการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ลดเค็ม ลดโปรตีนเกินความจำเป็น และปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ

Q5: ใครบ้างที่ควรตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ ?

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต
  • ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี
  • ผู้ที่ใช้ยาหรือสมุนไพรติดต่อกันนาน ๆ

โรคไตเรื้อรัง เป็นปัญหาสุขภาพที่รุนแรงหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา แต่สามารถชะลอความเสื่อมและป้องกันได้ด้วยการใส่ใจสุขภาพ รู้จักสาเหตุ อาการ และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรหมั่นพบแพทย์และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม การป้องกันตั้งแต่วันนี้คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ไตแข็งแรงและคุณภาพชีวิตยืนยาว

 

ข้อมูลโดย

รศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ
สาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

คลิกชมคลิป “เช็กลิสต์ พฤติกรรมกัน “โรคไตเรื้อรัง” ได้ที่นี่

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

เช็กลิสต์ พฤติกรรมกัน โรคไตเรื้อรัง
พฤติกรรมเสี่ยงเล็ก ๆ ที่ทำทุกวันอาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังได้ เช็กลิสต์ดูเลยว่าคุณมีข้อไหนบ้าง พร้อมแนวทางปรับพฤติกรรมให้ไตแข็งแรงไปนาน ๆ
บทความสุขภาพ
23-11-2025

0

ยาช่วยย่อย กินบ่อย ๆ ช่วยได้จริง ? ไม่อันตราย ใช่หรือมั่ว
ยาช่วยย่อยกินบ่อย ๆ ดีจริงไหม? หลายคนใช้เพื่อบรรเทาแน่นท้องหรืออาหารไม่ย่อย แต่รู้หรือไม่ว่าการใช้ผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อระบบย่อยอาหาร มาดูข้อเท็จจริง
บทความสุขภาพ
22-11-2025

1

เอ็นร้อยหวายอักเสบ อาการที่สายสปอร์ตต้องระวัง
เอ็นร้อยหวายอักเสบเป็นอาการที่สายออกกำลังกายต้องระวัง เพราะอาจเกิดจากใช้งานหนัก วิ่งเยอะ หรือยืดเหยียดไม่พอ รู้สัญญาณเตือนและวิธีป้องกันก่อนเจ็บ
บทความสุขภาพ
21-11-2025

0

โรคเบาหวาน ภัยเงียบใกล้ตัวที่ป้องกันและจัดการได้
โรคเบาหวานคือภัยเงียบที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถป้องกันและจัดการได้ รู้สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลตัวเองเพื่อคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
บทความสุขภาพ
20-11-2025

0

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL