ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ส้นเท้าในก้าวแรกหลังลุกจากเตียงในตอนเช้า จนต้องเดินเขย่งในช่วงแรก ๆ หรืออาการปวดส้นเท้าที่กลับมาอีกครั้งหลังจากการยืนหรือเดินนาน ๆ หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดเมื่อยธรรมดาที่เดี๋ยวก็คงหายไปเอง แต่ความจริงแล้ว นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของ “โรครองช้ำ” หรือ “พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ” ภาวะที่สร้างความเจ็บปวดและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้มากกว่าที่คิด
บทความนี้จะพาไปไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับภาวะยอดฮิตนี้ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีรับมือที่ถูกต้อง ก่อนที่อาการปวดจะเรื้อรังและรุนแรงขึ้น
โรครองช้ำ คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
โรครองช้ำ หรือในชื่อทางการแพทย์ว่า พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis) คือภาวะอักเสบของ “พังผืดใต้ฝ่าเท้า” (Plantar Fascia) ซึ่งเป็นแถบเนื้อเยื่อพังผืดที่หนาและแข็งแรง ขึงอยู่ระหว่างส้นเท้าไปจนถึงปลายนิ้วเท้า
พังผืดส่วนนี้ทำหน้าที่สำคัญเปรียบเสมือน “สปริง” ของเท้า คือช่วยรองรับแรงกระแทกและรักษาความโค้งของอุ้งเท้าเอาไว้ แต่เมื่อพังผืดส่วนนี้ต้องรับแรงกระแทกมากเกินไป หรือถูกใช้งานหนักอย่างต่อเนื่อง จะเกิดการฉีกขาดเล็ก ๆ ซ้ำ ๆ จนทำให้เกิดการอักเสบและเจ็บปวดบริเวณจุดเกาะของพังผืดที่กระดูกส้นเท้านั่นเอง
อาการแบบไหนที่บ่งชี้ว่าเป็นโรครองช้ำ ?
อาการของโรครองช้ำมีความจำเพาะเจาะจงที่สามารถสังเกตได้ง่าย ซึ่งแตกต่างจากอาการปวดเมื่อยทั่วไปอย่างชัดเจน
- อาการปวดที่คลาสสิกที่สุด คือ ปวดแปลบหรือปวดจี๊ดเหมือนมีของแหลมทิ่มที่ “ส้นเท้า” บางครั้งอาจปวดลามไปทั่วอุ้งเท้า
- เจ็บปวดในก้าวแรก อาการจะรุนแรงที่สุดใน ก้าวแรก ๆ หลังตื่นนอนในตอนเช้า หรือหลังจากนั่งพักเป็นเวลานานแล้วลุกขึ้นเดิน
- อาการจะดีขึ้นเมื่อขยับ หลังจากเดินไปได้สักพัก อาการปวดมักจะค่อย ๆ ทุเลาลง
- กลับมาปวดอีกครั้งหลังใช้งาน อาการปวดจะกลับมาเป็นอีกครั้งหลังจากการยืนหรือเดินเป็นเวลานาน หรือหลังจากออกกำลังกาย
ใครบ้างคือกลุ่มเสี่ยง และพฤติกรรมอะไรที่ทำให้เกิดโรครองช้ำ ?
โรครองช้ำไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
ปัจจัยด้านร่างกายและอายุ
- อายุ มักพบมากในผู้ที่มีอายุระหว่าง 40-60 ปี เนื่องจากความยืดหยุ่นของพังผืดลดลงตามวัย
- น้ำหนักตัว ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน จะเพิ่มแรงกดทับที่ฝ่าเท้าโดยตรง
- โครงสร้างเท้า ผู้ที่มี เท้าแบน (Flat Feet) หรือ อุ้งเท้าโก่งเกินไป (High Arches) จะทำให้การกระจายน้ำหนักของเท้าผิดปกติและเกิดแรงตึงที่พังผืดได้ง่าย
- ภาวะเอ็นร้อยหวายตึง ผู้ที่มีเอ็นร้อยหวายตึงจะส่งผลให้การเคลื่อนไหวของข้อเท้าผิดปกติและเพิ่มแรงดึงรั้งที่พังผืดใต้ฝ่าเท้า
ปัจจัยด้านการใช้งานและไลฟ์สไตล์
- อาชีพ ผู้ที่ต้องยืนหรือเดินเป็นเวลานานบนพื้นแข็ง ๆ เช่น ครู พยาบาล พนักงานโรงงาน หรือช่างทำผม
- กิจกรรมและการออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การวิ่งระยะไกล การเต้นแอโรบิก หรือการเล่นกีฬาที่ต้องกระโดดบ่อย ๆ
- การเลือกรองเท้า การสวมใส่รองเท้าที่ไม่มีพื้นกันกระแทก พื้นบางหรือแข็งเกินไป รองเท้าที่ไม่มีส่วนรองรับอุ้งเท้า (เช่น รองเท้าแตะ รองเท้าแฟลต) หรือรองเท้าที่เสื่อมสภาพแล้ว
หากเป็นโรครองช้ำแล้ว ควรดูแลตัวเองและรักษาอย่างไร ?
หัวใจสำคัญของการรักษาโรครองช้ำคือการลดการอักเสบและเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่พังผืด ซึ่งส่วนใหญ่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยการดูแลตัวเอง
การดูแลตัวเองเบื้องต้น (เมื่อเริ่มมีอาการ)
- พักและปรับกิจกรรม ลดหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องลงน้ำหนักหรือมีแรงกระแทกสูง เช่น การวิ่ง หรือการกระโดด
- ประคบเย็น ใช้แผ่นเจลเย็นหรือน้ำแข็งห่อผ้าประคบบริเวณที่ปวดครั้งละ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยลดการอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเดิน ยืน หรือออกกำลังกายเป็นเวลานาน
- เลือกรองเท้าให้เหมาะสม เปลี่ยนมาสวมรองเท้าที่มีพื้นนุ่ม มีส่วนเสริมอุ้งเท้า และมีส้นเล็กน้อย (ประมาณ 1-1.5 นิ้ว) เพื่อลดแรงตึงของพังผืด หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง
- ลดน้ำหนัก หากมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน การลดน้ำหนักจะช่วยลดแรงกระแทกที่ฝ่าเท้าได้อย่างมหาศาล
การทำกายภาพบำบัด หัวใจสำคัญของการรักษา
การยืดกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการรักษาและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ โดยเน้นการยืด 2 ส่วนหลัก
- ยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้า ทำได้ง่าย ๆ ตอนเช้าก่อนลุกจากเตียง โดยการใช้มือดึงปลายเท้าเข้าหาตัวค้างไว้ 30 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
- ยืดเอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อน่อง ยืนหันหน้าเข้ากำแพง วางเท้าข้างที่เจ็บไว้ด้านหลัง เหยียดขาหลังให้ตรงและส้นเท้าติดพื้น จากนั้นค่อย ๆ ย่อเข่าหน้าจนรู้สึกตึงที่น่องขาหลัง ค้างไว้ 30 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
การรักษาโดยแพทย์
หากดูแลตัวเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม ซึ่งอาจรวมถึง
- การรับประทานยาลดการอักเสบ
- การใช้อุปกรณ์เสริมในรองเท้า ที่ทำขึ้นเฉพาะบุคคล
- การใส่เฝือกอ่อนตอนกลางคืน เพื่อยืดพังผืดขณะนอนหลับ
- การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือ เช่น อัลตราซาวนด์ หรือ Shock Wave Therapy (ESWT)
- การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ ควรฉีดภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ควรฉีดยาสเตียรอยด์ซ้ำหลายครั้งเนื่องจากอาจทำให้โรคแย่ลงได้
- การฉีดพลาสม่าเกร็ดเลือด (platelet-rich plasma; PRP) ช่วยลดการอักเสบ และกระตุ้นการซ่อมแซมของเส้นเอ็นผังผืดฝ่าเท้าจากการเสื่อมสภาพ
- การผ่าตัด ซึ่งจะพิจารณาเป็นทางเลือกสุดท้ายจริง ๆ
อาการปวดส้นเท้า โดยเฉพาะในก้าวแรกของวัน เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนของ “โรครองช้ำ” ซึ่งเกิดจากการใช้งานฝ่าเท้าหนักเกินไปจนเกิดการอักเสบ แม้จะสร้างความเจ็บปวดและรำคาญใจ แต่ก็เป็นภาวะที่สามารถจัดการได้ด้วยการพัก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และที่สำคัญที่สุดคือการทำกายภาพบำบัดด้วยการยืดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ความเจ็บปวดเล็กน้อยกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของคุณ
ข้อมูลโดย
ผศ. นพ.กุลพัชร จุลสำลี
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ