ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกรองของเสียออกจากเลือด ควบคุมความสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกาย รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต หากไตทำงานผิดปกติ อาจนำไปสู่โรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก มาไขความจริงเกี่ยวกับ “โรคไต” เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีไปพร้อมกับ Rama Channel
ไต ทำหน้าที่อะไร
ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำงานเงียบ ๆ แต่มีบทบาทอย่างมากต่อสุขภาพโดยรวม โดยไตมีหน้าที่หลัก ๆ ดังนี้
- กรองของเสียและน้ำส่วนเกิน ไตทำหน้าที่กรองของเสียและสารพิษจากเลือด แล้วขับออกทางปัสสาวะ ช่วยรักษาความสะอาดของเลือดและป้องกันการสะสมของสารพิษในร่างกาย
- ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ ไตช่วยรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์และระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
- ควบคุมความดันโลหิต ไตมีบทบาทในการควบคุมความดันโลหิตโดยการปล่อยฮอร์โมนเรนิน (renin) ซึ่งช่วยในการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- สร้างฮอร์โมนที่สำคัญ ไตผลิตฮอร์โมนเอริโทรโพอิติน (erythropoietin) ซึ่งกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก และยังมีบทบาทในการเปลี่ยนวิตามินดีให้เป็นรูปแบบที่ร่างกายสามารถใช้งานได้ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างกระดูก
การทำงานของไตที่ปกติเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ดังนั้นการดูแลไตให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
โรคไตเกิดจากอะไร
โรคไตไม่ได้เกิดจากการบริโภคอาหารเค็มเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไตได้อีกมากมาย ดังนี้
1. โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรัง เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตที่สูงสามารถทำลายหลอดเลือดในไต ทำให้ไตเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ
2. พฤติกรรมการบริโภคอาหาร
การบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น เครื่องปรุงรส อาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง และอาหารกึ่งสำเร็จรูป แม้จะไม่รู้สึกเค็ม แต่ก็มีปริมาณโซเดียมสูง ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตได้
3. การใช้ยาบางชนิด
การใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs อย่างต่อเนื่อง หรือการใช้ยาสมุนไพรที่ไม่มีการควบคุมคุณภาพ อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของไต
4. พันธุกรรมและโรคทางพันธุกรรม
โรคถุงน้ำในไต เป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก และเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคไตเรื้อรัง
5. การติดเชื้อและการอักเสบ
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือการอักเสบของหลอดเลือดฝอยในไต เช่น โรคไตอักเสบจากโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ สามารถทำให้ไตเสียหายและนำไปสู่โรคไตเรื้อรังได้
6. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
การดื่มน้ำน้อย ไม่ออกกำลังกาย ความเครียดสะสม และการทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนเพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถทำให้ไตทำงานหนักและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
กินเค็มเสี่ยงทำให้เป็นโรคไตจริงหรือไม่ ?
การกินอาหารที่มีรสเค็มจัดเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไต เพราะไตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับเกลือ (โซเดียม) ที่ร่างกายได้รับมากเกินไป ส่งผลให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น และยังมีผลต่อการเพิ่มความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น หากต้องการถนอมไตให้แข็งแรง แนะนำให้ลดการบริโภคอาหารสำเร็จรูป อาหารหมักดอง หรืออาหารที่มีเครื่องปรุงรสจัด
สังเกตอาการอย่างไรเมื่อโรคไตถามหา ?
โรคไตในระยะแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่เมื่อไตเริ่มเสื่อมมากขึ้น อาการที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน ได้แก่
- บวมบริเวณเท้า ข้อเท้า ใบหน้า หรือลำตัว
- ปัสสาวะเป็นฟองหรือมีเลือดปน
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- นอนไม่หลับ
- มีอาการคันตามผิวหนังเรื้อรัง
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กค่าการทำงานของไตทันที เพราะการตรวจพบเร็ว จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงที่จะตามมาในอนาคต
กลุ่มเสี่ยง ‘โรคไต’ มีใครบ้าง
โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป การรู้จักกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรัง เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตที่สูงสามารถทำลายหลอดเลือดในไต ทำให้ไตเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ
2. ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
เมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของไตจะลดลงตามธรรมชาติ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคไตอย่างสม่ำเสมอ
3. ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป การกินอาหารที่มีโซเดียมสูง และการใช้ยาแก้ปวดหรือยาสมุนไพรโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เป็นพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต
ผู้ป่วยผู้ป่วยโรคไตมีโอกาสหายขาดได้หรือไม่ ?
การหายขาดจากโรคไตขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค หากเป็นโรคไตในระยะเริ่มต้น สามารถชะลอหรือหยุดความเสื่อมของไตได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างเข้มงวด ร่วมกับการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ แต่หากเข้าสู่ระยะไตวายเรื้อรังขั้นสุดท้าย (ระยะที่ 5) ไตมักไม่สามารถกลับมาทำงานได้ปกติ ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาด้วยการฟอกไต การล้างไตผ่านช่องท้อง หรือการปลูกถ่ายไต เพื่อช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
ผู้ป่วยฟอกไตจะมีแนวทางในการดูแลตัวเองอย่างไร ?
การฟอกไตเป็นกระบวนการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายที่ไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป เพื่อให้การฟอกไตมีประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ผู้ป่วยควรเข้ารับการฟอกไตตามเวลาที่กำหนด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงการกินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
2. ควบคุมอาหารและของเหลว
การควบคุมอาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยฟอกไต ควรจำกัดการบริโภคโซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรจำกัดปริมาณของเหลวที่กินในแต่ละวัน เพื่อป้องกันการบวมน้ำและภาวะน้ำท่วมปอด
3. ดูแลสุขอนามัย
ผู้ป่วยควรรักษาความสะอาดของร่างกายและบริเวณที่ทำการฟอกไต เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ควรล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ทำการฟอกไตโดยไม่จำเป็น
4. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น เดินเล่น โยคะ หรือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
โรคไตเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การดูแลสุขภาพไตอย่างเหมาะสมจึงจำเป็นอย่างยิ่ง หากพบสัญญาณเตือนของโรคไต ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อสุขภาพที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
ข้อมูลโดย
รศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ
สาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “พบหมอรามาฯ: โปรดระวัง !!! “สะเทือนไต” เจาะลึกกับโรคไต กับ #พบหมอรามาฯ” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










