วิธีดูแลแผลเบื้องต้นให้หายไว ไม่เสี่ยงติดเชื้อ
หน้าแรก
วิธีดูแลแผลเบื้องต้นให้หายไว ไม่เสี่ยงติดเชื้อ

วิธีดูแลแผลเบื้องต้นให้หายไว ไม่เสี่ยงติดเชื้อ

การเกิดแผลเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแผลถลอกจากการล้ม แผลฉีกขาดจากของมีคม หรือแม้แต่แผลทะลุทะลวงจากอุบัติเหตุ การดูแลแผลเบื้องต้นที่ถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้แผลหายเร็ว ลดโอกาสติดเชื้อ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีดูแลแผลเบื้องต้นอย่างถูกต้อง บทความนี้จะพาไปเรียนรู้ตั้งแต่การแยกประเภทของแผล วิธีล้างแผล การเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อ ไปจนถึงสัญญาณเตือนที่ควรรีบพบแพทย์

ประเภทของแผลและหลักการดูแลเบื้องต้น

ประเภทของแผลและหลักการดูแลเบื้องต้น

การดูแลแผลแต่ละประเภทจะมีแนวทางที่แตกต่างกัน การแยกประเภทของแผลจะช่วยให้เลือกวิธีดูแลได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

แผลถลอก

แผลถลอกเป็นแผลที่ผิวหนังชั้นบนถูกขูดหรือเสียดสีจนผิวหนังเปิดออก มักเกิดจากการล้ม หรือโดนสิ่งของขรุขระ เช่น รั้วลวด หน้าตาแผลจะไม่ลึกและเลือดออกไม่มาก เป็นแผลที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน

วิธีดูแลเบื้องต้น

  • ล้างแผลให้สะอาด เริ่มต้นโดยล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือถ้ามี น้ำเกลือทางการแพทย์ (Normal Saline Solution; NSS) จะยิ่งดี ช่วยชะล้างเศษฝุ่นและสิ่งสกปรกออกจากแผล
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่แรง ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่รุนแรง เช่น แอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เพราะจะทำให้แสบและทำลายเนื้อเยื่อ ส่งผลให้แผลหายช้า
  • ใส่ยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-iodine) ทาเพียงบาง ๆ หลังล้างแผล
  • ปิดแผล แนะนำให้ปิดแผลไว้ในช่วง 2-3 วันแรก เพื่อกันฝุ่นหรือสิ่งสกปรก และช่วยซับน้ำเหลือง ไม่ควรปิดแน่น หรือปิดแผลที่สกปรกโดยไม่ทำความสะอาดก่อน
  • เปลี่ยนผ้าปิดแผลทุกวัน ทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าก๊อซใหม่ทุกวันจนกว่าแผลจะแห้ง

แผลฉีกขาด

แผลฉีกขาดเกิดจากของมีคมหรือของแหลม เช่น มีดบาด หรือของแข็งเกี่ยวหรือกระแทกจนผิวหนังฉีกขาดเป็นแนว อาจมีเลือดออกมากกว่าแผลถลอก และบางครั้งแผลอาจลึกจนถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

วิธีดูแลเบื้องต้น

  • ห้ามเลือดทันที ใช้ผ้าสะอาดกดแผลไว้แรง ๆ อย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุด ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว โดยเฉพาะในผู้ที่กินยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกร็ดเลือด
  • ล้างแผล หากเลือดหยุดแล้ว ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือทางการแพทย์ ควรล้างอย่างอ่อนโยนเพื่อไม่ให้แผลเปิดกว้างขึ้น
  • ทายาฆ่าเชื้อ ใช้ยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ ทารอบแผล
  • ปิดแผล ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ที่สะอาด และเปลี่ยนผ้าปิดแผลทุกวัน หากแผลลึกหรือกว้างมาก แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจประเมินว่าจำเป็นต้องเย็บแผลหรือไม่
  • สังเกตอาการ หากมีอาการปวดแผลเพิ่มขึ้น บวม แดง หรือมีหนอง ให้รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อหรือมีปัญหาอื่นแทรกซ้อน

แผลทะลุทะลวง

เป็นแผลที่มีของแหลม เช่น ตะปู ลวด หรือสัตว์กัด ทิ่มหรือเจาะลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อ อาจมีเศษสิ่งแปลกปลอมอยู่ในแผล หรือแผลอาจเล็กแต่ลึกมาก ซึ่งแผลประเภทนี้เสี่ยงติดเชื้อสูงมาก

วิธีดูแลเบื้องต้น

  • ห้ามเลือด ใช้ผ้าสะอาดกดแผลทันทีเพื่อหยุดเลือด
  • อย่าดึงสิ่งแปลกปลอมออกเอง หากมีของแหลมคาอยู่ในแผล (เช่น ตะปู ฝังอยู่) อย่าพยายามดึงออกเอง ให้รีบนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อให้แพทย์เป็นผู้จัดการอย่างถูกต้องและปลอดภัย
  • ล้างแผล หากไม่มีสิ่งแปลกปลอมคาอยู่ ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือทางการแพทย์เพื่อลดปริมาณเชื้อโรค
  • ปิดแผล ปิดด้วยผ้าสะอาดเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก
  • ไปพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากแผลลึกมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะหากโดนตะปู สนิม หรือถูกสัตว์กัด ต้องประเมินความจำเป็นในการฉีดวัคซีนบาดทะยักหรือรับยาฆ่าเชื้อเพิ่มเติมจากแพทย์
  • สังเกตอาการ หากแผลบวม แดง มีหนอง หรือปวดมากขึ้น ห้ามปล่อยไว้ ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที

วิธีล้างแผลที่ถูกต้อง

วิธีล้างแผลที่ถูกต้อง

การล้างแผลอย่างถูกวิธีเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการดูแลแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลถลอก แผลฉีกขาด หรือแผลทะลุทะลวง เพราะการล้างแผลที่สะอาดจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ ทำให้แผลหายไว และลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาได้

  1. ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสแผล เริ่มต้นด้วยการล้างมือด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากมือเข้าสู่แผล
  2. เลือกน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือทางการแพทย์ การล้างแผลที่ดีที่สุดคือใช้น้ำเกลือทางการแพทย์ (Normal Saline Solution) เพราะมีความสะอาดและอ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หากไม่มีน้ำเกลือ สามารถใช้น้ำสะอาดจากก๊อกที่ผ่านการกรองได้ชั่วคราว
  3. ล้างแผลอย่างอ่อนโยน ใช้น้ำเกลือหรือน้ำสะอาดค่อย ๆ ราดผ่านแผล ไม่ควรใช้แรงฉีดที่รุนแรงหรือถูแผลแรง ๆ เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหาย หากมีเศษฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมให้พยายามชะล้างออกอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าติดแน่นหรือเป็นเศษใหญ่ให้ไปพบแพทย์
  4. หลีกเลี่ยงน้ำยาฆ่าเชื้อที่รุนแรง ไม่ควรใช้แอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ล้างแผล เนื่องจากมีฤทธิ์กัดผิวและทำลายเนื้อเยื่อ ส่งผลให้แผลแสบมากและหายช้า
  5. ซับแผลให้แห้งด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซ หลังล้างแผลให้ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดซับเบา ๆ ให้แผลแห้ง ไม่ควรปล่อยให้เปียกชื้น
  6. ใส่ยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ หากมี ให้ทายาฆ่าเชื้อชนิดอ่อน เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน (เบตาดีน) ทาบาง ๆ บริเวณรอบแผล (ไม่ต้องเทยาลงไปในแผลลึก)
  7. ปิดแผลหรือปล่อยให้แห้งตามความเหมาะสม แนะนำให้ปิดแผลในช่วง 2-3 วันแรก หรือกรณีแผลอยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อสิ่งสกปรก แต่หากแผลแห้งสะอาดดีแล้ว สามารถเปิดให้โดนอากาศเพื่อเร่งการสมานแผล
  8. แผลเปียก หากแผลถูกน้ำผ้าปิดแผลเปียกให้รีบทำแผล เปลี่ยนผ้าปิดแผลทันทีห้ามทิ้งแผลเปียกชื้นไว้เพราะจะทำให้แผลอักเสบติดเชื้อ
  9. ทำแผลทุกวัน โดยเฉพาะช่วงสามวันแรก เพราะแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุเป็นแผลที่ไม่ค่อยสะอาด มีโอกาสติดเชื้อจึงควรทำแผลทุกวันในช่วงแรก หากแผลดีไม่อักเสบอาจทำห่างขึ้นได้

แผลแบบไหนควรปิด หรือควรปล่อยให้แห้ง?

บางกรณีไม่ควรปิดแผล เช่น แผลที่แห้งดีแล้ว ไม่มีน้ำเหลืองไหลออก หรือแผลเล็กที่อยู่ในบริเวณที่อากาศถ่ายเทสะดวก การปล่อยให้แผลโดนอากาศจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสการเติบโตของเชื้อโรคที่อาศัยความชื้น แต่หากแผลยังมีเลือดซึม หรือต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรกบ่อยครั้ง ก็ควรปิดแผลไว้จนกว่าแผลจะเริ่มแห้งดี

สัญญาณเตือน “แผลอักเสบ” ควรรีบพบแพทย์

แม้เราจะดูแลแผลอย่างดีตั้งแต่แรก แต่แผลบางประเภทก็ยังเสี่ยง “อักเสบหรือติดเชื้อ” ได้ ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามจนเป็นอันตรายหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษา ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตอาการของแผลเสมอ และถ้าเริ่มมี “สัญญาณเตือน” เหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • แผลบวม แดง ร้อน หากพบว่าแผลเริ่มบวมผิดปกติ ผิวบริเวณแผลแดงชัด หรือจับดูรู้สึกว่าร้อนกว่าปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการอักเสบหรือติดเชื้อ
  • แผลปวดมากขึ้น อาการปวดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวันแรก ๆ ที่เกิดแผล ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะแผลปกติอาการปวดควรจะค่อย ๆ ดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง
  • มีหนองหรือน้ำเหลืองขุ่น หากมีหนองหรือของเหลวขุ่นไหลออกจากแผล หรือสังเกตเห็นว่าน้ำเหลืองที่ออกจากแผลเปลี่ยนสี มีกลิ่นเหม็น นั่นแปลว่ากำลังเกิดการติดเชื้ออย่างชัดเจน
  • แผลไม่ดีขึ้นหรือแผลขยายใหญ่ขึ้น เมื่อแผลไม่แห้งหรือไม่เล็กลงภายในไม่กี่วัน หรือกลับแย่ลง มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือผิวหนังรอบแผลลอกออกมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายไม่สามารถสมานแผลได้เอง
  • มีไข้หรือรู้สึกไม่สบายตัวร่วมด้วย หากมีไข้หรือรู้สึกอ่อนเพลียร่วมกับอาการแผลอักเสบ แสดงว่าเชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือดหรือเกิดการอักเสบรุนแรง ต้องพบแพทย์โดยเร็ว

ยาฆ่าเชื้อ จำเป็นไหม?

ในแผลทั่วไป การใช้ยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่ เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน หรือยาปฏิชีวนะชนิดทาอาจเพียงพอ ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะกินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะเสี่ยงต่อการดื้อยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ ยาปฏิชีวนะชนิดกินหรือฉีดจำเป็นสำหรับแผลที่ติดเชื้อรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน ควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาเท่านั้น การดูแลแผลเบื้องต้นให้ถูกวิธีจะช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาฆ่าเชื้ออย่างมาก

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการดูแลแผล

  • ห้ามทายาสีฟันหรือสมุนไพรบด รวมถึงการเคี้ยวสมุนไพรแปะบนแผล เพราะจะนำเชื้อโรคจากปากหรือของสกปรกเข้าสู่แผล ทำให้ติดเชื้อหนักกว่าเดิม
  • ห้ามนำเกลือผสมเองมาล้างแผล น้ำเกลือที่ใช้ทางการแพทย์มีความเข้มข้นเฉพาะ ไม่เหมือนเกลือผสมเอง
  • กินไข่ ข้าวเหนียว ได้ ไม่มีอาหารชนิดไหนที่ทำให้แผลอักเสบหรือหายช้าจริง สามารถกินได้ตามปกติ
  • การใช้ยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบ ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาไต หัวใจ หรือโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา

การดูแลแผลเบื้องต้นที่ถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็นแผลถลอก แผลฉีกขาด หรือแผลทะลุทะลวง ช่วยลดโอกาสติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็วขึ้น อย่าลืมล้างแผลให้สะอาด ใช้ยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม เลือกปิดแผลหรือปล่อยให้แห้งตามความเหมาะสม และคอยสังเกตอาการผิดปกติ หากพบอาการแผลอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ การใส่ใจในขั้นตอนเล็ก ๆ เหล่านี้จะช่วยให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

 

ข้อมูลโดย

ผศ. นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์
สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

คลิกชมคลิป “ดูแลแผลอย่างมือโปร ปลอดภัยชัวร์ ” ได้ที่นี่

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

ฉีดยา IV และ IM ต่างกันอย่างไร ?
การฉีดยาแบบ IV และ IM ต่างกันอย่างไร? รู้ความหมาย วิธีการฉีด ข้อดีข้อเสีย และกรณีที่แพทย์เลือกใช้แต่ละแบบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
บทความสุขภาพ
10-11-2025

1

ยาแอสไพริน (Aspirin) คืออะไร สรรพคุณ วิธีใช้ และข้อควรระวังที่ควรรู้
ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาแก้ปวดลดไข้ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน รู้สรรพคุณ วิธีใช้ และข้อควรระวัง เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
บทความสุขภาพ
09-11-2025

1

Metformin (เมทฟอร์มิน) สรรพคุณ และผลข้างเคียง ที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องรู้
Metformin (เมทฟอร์มิน) ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รู้สรรพคุณ วิธีใช้ และผลข้างเคียงที่ควรระวัง เพื่อการใช้อย่างปลอดภัย
บทความสุขภาพ
09-11-2025

2

แนวทางป้องกัน ลดโอกาสการเกิด โรคมะเร็งลำไส้
ลดความเสี่ยง โรคมะเร็งลำไส้ ได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจคัดกรองเป็นประจำ รู้แนวทางป้องกันง่าย ๆ เพื่อสุขภาพลำไส้
บทความสุขภาพ
08-11-2025

2

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL