วัณโรค (tuberculosis) ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในสังคมไทยและหลายประเทศทั่วโลก แม้ในยุคปัจจุบันการแพทย์และเทคโนโลยีจะพัฒนาก้าวหน้าไปมาก แต่โรคร้ายชนิดนี้ยังคงคร่าชีวิตผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะวัณโรคปอดที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย (Mycobacterium tuberculosis) สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจและแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการป้องกันวัณโรคจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถระวังภัย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และร่วมกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วัณโรค คืออะไร
วัณโรค เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis โดยทั่วไปเชื้อมักเข้าสู่ร่างกายทางปอดผ่านระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก ทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งหลายคนมักคุ้นเคยในชื่อ “วัณโรคปอด” อย่างไรก็ตาม เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปอดแล้ว เชื้อโรคก็สามารถแพร่กระจายสู่อวัยวะทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสมอง เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มหัวใจ กระดูกสันหลัง ตับ ม้าม มดลูก ต่อมน้ำเหลือง อัณฑะ ฯลฯ ในปัจจุบันยังคงพบผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องทั้งในผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ภูมิคุ้มกันและการแสดงอาการ
ในคนส่วนใหญ่ เชื้อวัณโรคอาจอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการใด ๆ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถควบคุมเชื้อไว้ได้ แต่สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เชื้อวัณโรคอาจเจริญเติบโตและแสดงอาการรุนแรงขึ้น นำไปสู่การเกิดโรควัณโรคในหลายอวัยวะของร่างกาย
วัณโรค อาการเป็นอย่างไร
หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรควัณโรคโดยเร็ว
- มีไข้ และรู้สึกหนาว โดยเฉพาะไข้ในเวลากลางคืน เมื่อไข้ลดแล้วมีเหงื่อออกปริมาณมาก การมีไข้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานมากกว่า 1 สัปดาห์และไม่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยวิธีทั่วไป
- เบื่ออาหาร หรือรับประทานอาหารแล้วไม่รู้สึกอร่อย
- อ่อนเพลียและหมดแรงง่าย
- อาการไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือดในกรณีวัณโรคปอด
หากมีผู้ใกล้ชิดหรือสมาชิกในครอบครัวที่เป็นวัณโรค ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรเฝ้าระวังสังเกตอาการตนเองและคนรอบข้างอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจและการรักษา
เมื่อพบอาการที่สงสัย ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจ เช่น การเอกซเรย์ปอด การตรวจทางรังสีวิทยาชนิดอื่นสำหรับการติดเชื้อวัณโรคนอกปอด การตรวจเสมหะ หากวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรค แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาต้านวัณโรคที่ใช้ระยะเวลานานอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อกำจัดเชื้อวัณโรคให้หมดสิ้น
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดวัณโรคปอดมีอะไรบ้าง ?
ภูมิคุ้มกันบกพร่องหรืออ่อนแอ
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวีผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยาใช้หลังปลูกถ่ายอวัยวะ
การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอด
- อยู่ร่วมบ้านหรือทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการรักษาหรืออยู่ในระยะที่เชื้อแพร่กระจาย
สถานที่แออัด ขาดการระบายอากาศ
- พื้นที่แออัด เช่น เรือนจำ หอพัก ศูนย์ผู้ลี้ภัย โรงงาน
- การระบายอากาศไม่เพียงพอ ทำให้เชื้อกระจายตัวได้ง่ายขึ้น
ภาวะโภชนาการไม่เพียงพอหรือสุขภาพกายไม่แข็งแรง
- การขาดสารอาหาร ภาวะทุพโภชนาการ น้ำหนักตัวน้อยเกินไป
- การขาดการพักผ่อนและการดูแลสุขภาพที่ดี ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ
พฤติกรรมเสี่ยงและภาวะสุขภาพอื่น ๆ
- การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือเสพสารเสพติด ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน
- โรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไตเรื้อรัง ที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน
การป้องกันและลดความเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคโดยไม่ป้องกัน
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
- รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี โดยควรตรวจเอกซเรย์ปอด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
วัณโรคยังคงเป็นภัยเงียบที่ควรให้ความสำคัญ ทั้งในระดับบุคคลและสังคมในภาพรวม แม้ปัจจุบันจะมีแนวทางการป้องกัน การตรวจวินิจฉัย และการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การรู้เท่าทันอาการ สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงจะช่วยลดการแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี การเฝ้าระวังอาการบ่งชี้ การปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ รวมถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ล้วนเป็นแนวทางสำคัญในการยับยั้งปัญหาวัณโรคในระยะยาว การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคนี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพตนเองและคนรอบข้างให้ปลอดภัยจากวัณโรคในระยะยาว
ข้อมูลจาก
ผศ. นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “ความรู้เรื่อง “วัณโรคปอด” | ลัดคิวหมอรามาฯ” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ